Smart City เป็นแนวคิดในการพัฒนาเมืองให้เป็นเมืองที่สามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย ซึ่งมีจุดเด่นในการบริหารจัดการเมืองอย่างมีประสิทธิภาพ นี่เป็นรายการของ 10 เมืองใหญ่ที่ได้รับการจัดอันดับเป็น Smart City ของโลก ที่มีคุณภาพและประสิทธิภาพในการบริหารจัดการเมืองอย่างเป็นมาตรฐานสากล
‘Smart City’ เป็นคำเรียกเมืองที่มีระบบสื่อสาร ด้วยเทคโนโลยี ที่ทำให้คุณภาพในการใช้ชีวิตในเมืองๆนั้นดีขึ้น ลดผลกระทบที่มีต่อสิ่งแวดล้อม และลดการใช้พลังงานของเมืองลง การได้รับคัดเลือกเป็น ‘Smart City’ จำเป็นต้องมีองค์ประกอบเหล่านี้มาพิจารณา รวมถึง “smart” plans แผนฉลาดๆในการพัฒนาเมืองต่อไปในอนาคตด้วย
เรามาดูเมืองใหญ่ 10 เมืองที่ถูกจัดว่าเป็น smart city กันดีกว่า และมาดูว่า อะไรที่ทำให้ได้เป็น “smart city”
San Francisco
ซานฟรานซิสโกได้รับการจัดอันดับให้เป็นเมืองน่าอยู่ที่สุดในโซนอเมริกาเหนือมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน เมืองแห่งนี้ได้ทุ่มเทในการพัฒนาเมืองให้เป็น Smart City มาตลอด 2 ทศวรรษ ซานฟรานซิสโก มีจุดมุ่งหมาย ที่จะลด carbon footprint โดยการเพิ่มการใช้พลังงานทดแทน ( renewable energy) และ ปัจจุบันสามารถใช้พลังงานทดแทน ได้ถึง 41% ยังมีการพัฒนาระบบขนส่งมวลชน ที่มีทั้งรถประจำทางและรถไฟ รวมถึงมี app แสดงเส้นทางจักรยานและทางเดินเท้า เข้าสู่เมือง
นอกจากนี้ยังมีเป้าหมาย ลดการสูญเปล่าให้เป็น zero waste ในปี 2020 การจะไปสู่จุดหมายเช่นนี้ืก็จำเป็นที่เมืองต้องขยายระบบการรีไซเคิลให้ครอบคลุมกว้างขวางยิ่งขึ้น ตอนนี้ก็มีความก้าวหน้าไปมาก มีการลดการสูญเปล่าลงไปถึง 80% เรียกว่ารีไซเคิลกันทุกอย่าง…(นโยบายแบบนี้ ไม่เคยได้ยินจากผู้สมัครผู้ว่า กทม ของเราเลย)
Amsterdam
Amsterdam เป็นอีกเมืองน่าอยู่ ที่เข้าข่าย Smart City อีกแห่งหนึ่ง อัมสเตอร์ดัม ได้ร่วมมือกับบริษัทยักษ์ใหญ่ อย่าง Phillips, Cisco, IBM, และบริษัทเล็กๆอีกจำนวนมาก มุ่งพัฒนาสู่ความเป็นเมืองสีเขียว go green..เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
บริษัทเหล่านี้ช่วยกันพัฒนา คิดค้นเพื่อให้อัมสเตอร์ดัม เป็นศูนย์กลางของเทคโนโลยี สำหรับ smart city อัมเสตอร์ดัมกำลังกลายเป็นเมืองต้นแบบให้กับเมืองอื่นๆในยุโรปขณะนี้
บางโครงการที่เมืองได้ทำไปแล้วเมื่อหลายปีก่อน ทำให้อัมสเตอร์ดัมในเวลานี้เป็นเมืองที่เขียวมากๆ ถ้าได้เดินไปบนถนน ‘Climate Street’ คุณก็จะได้สัมผัสกับเทคโนโลยีเหล่านี้ ว่ามันได้เริ่มใช้งานแล้ว ขยะถูกเก็บโดยรถขยะที่ใช้พลังงานไฟฟ้า ไม่สร้างมลพิษ ป้ายรถประจำทาง บิลบอร์ด แสงไฟล้วนได้รับพลังงานจากพลังงานแสงอาทิตย์ บ้านหลายพันหลัง ติดหลังคาที่ช่วยประหยัดพลังงาน แนวคิดนี้ได้แพร่กระจายจาก ‘Climate Street’ ออกไปยังส่วนต่างๆของเมืองอย่างรวดเร็ว
มีจุดจ่ายกระแสไฟให้กับรถที่ใช้พลังงานไฟฟ้า ได้ recharge แบตเตอร์รี่ของรถ แทนการเติมน้ำมันดีเซล
Tokyo
โตเกียวเมืองใหญ่ของญี่ปุ่น ได้บริษัทยักษ์ใหญ่สัญชาติญี่ปุ่น อย่าง Panasonic, Sharp, Mitsubishi และอีกหลายๆบริษัท ที่อยู่เบื้องหลังการปฏิวัติ โตเกียวไปสู่ความเป็น Smart city ด้วยเทคโนโลยีอัจฉริยะต่างๆ หลังจากโรงงานพลังงานนิวเคลียร์มีปัญหาเมื่อตอนเกิดแผ่นดินไหว ก็ทำให้เกิดการตื่นตัวในการพัฒนาเทคโนโลยีต่างๆเพื่อสิ่งแวดล้อมครั้งใหญ่อีกครั้ง
ในปี 2006 โตเกียวได้เริ่มแนวคิดเมืองสีเขียวครั้งใหญ่ บริเวณ พระราชวังอิมพีเรียลเป็นที่รับรู้กันว่าเป็นเกาะสีเขียว ป่าใจกลางเมืองที่วุ่นวายอย่างโตเกียว ตอนนี้ก็อยู่ในระหว่างเอาสาธารณูปโภคต่างๆลงใต้ดิน และแทนที่ด้วยต้นไม้ ซึ่งคาดว่าจะเสร็จเรียบร้อยในปี 2015 เป้าหมายคือปลูกต้นไม้ใหญ่ 1 ล้านต้น ซึ่งก็จะทำให้กรุงโตเกียวเองกลายเป็นเกาะสีเขียวไปเลย นอกจากนั้นก็ยังมีการเร่งให้เกิดการใช้พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานทดแทน อย่างลม และมีการส่งเสริมการใช้รถพลังงานไฟฟ้า ให้กับทั้งภาคธุรกิจและประชาชนทั่วไป
ออกไปไม่กี่ไมล์จากตัวเมืองกรุงโตเกียว มีหมู่บ้าน แบบ eco-village ที่สร้างโดย Panasonic เป็นหมู่บ้านที่มีการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์เป็น 0 (zero carbon emission) ทั้งหมู่บ้านใช้พลังงานทดแทน และใช้เครื่องใช้ที่ประหยัดไฟฟ้าอย่างสูงสุด ระบบอัจฉริยะในบ้าน จะตรวจสอบสภาพอากาศก่อนที่จะกำหนดว่า เวลาใดควรเป็นเวลาที่ดีที่สุดที่จะทำการซักเสื้อผ้า หลอดไฟLED ที่ใช้ในบ้าน ช่วยให้ประหยัดไฟเหลือเพียง1 ใน 6 ของหลอดไฟแบบเดิม และยังมีการใช้ พลังงานจากแสงอาทิตย์ เข้ามาร่วมด้วย บริษัทอื่นๆก็กำลังค้นคว้าพัฒนาบ้านอัจฉริยะ เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมในลักษณะนี้เช่นเดียวกัน
Xinjiang
เมืองผลิตน้ำมัน ในดินแดนที่ห่างไกลทางตะวันตกเฉียงเหนือ ของจีน มีการเปลี่ยนแปลงและนำเอาเทคโนโลยีอัจฉริยะมาใช้กับเมืองอย่างรวดเร็ว สิ่งที่โดดเด่นของเมืองก็คือ แนวคิดที่จะใช้ IT ( information-technology)มาเชื่อมโยงกับการใช้ชีวิตในแง่มุมต่างๆของชาวเมือง การเป็นเมืองอัจฉริยะของจีนไม่ได้เน้นเรื่องสิ่งปลูกสร้างเท่ากับการเชื่อมโยงด้วยเทคโนโลยี มาดูกันว่า เขาทำอะไรกันบ้างที่ซินเจียง
ทุกๆสถานีรถประจำทางจะมีการติดตั้งจออิเลคทรอนิค ที่จะแสดงให้เห็นข้อมูลเกี่ยวกับการมาของรถประจำทาง อุปกรณ์มือถือ สามารถเชื่อมโยงกับระบบของรถประจำทาง สามารถตรวจสอบเวลาที่แน่นอนที่รถจะมาถึง ผ่าน mobile apps ซึ่งช่วยในเรื่องปัญหาการจราจรได้อย่างมาก มีกล้องติดตั้งอยู่ทั่วเมือง และมีเว็บไซต์ที่จะแสดงการจราจร ที่สามารถเข้าถึงข้อมูลทั้งหมดได้ผ่านโทรศัพท์มือถือ ทำให้เห็นการจราจรแบบ real time และชาวเมืองสามารถหลีกเลี่ยงการจราจรที่หนาแน่นได้
บ้านแต่ละหลัง ติดตั้ง panic buttons ซึ่งเป็นปุ่มขอความช่วยเหลือแบบฉุกเฉิน เมื่อผู้สูงอายุกดปุ่มนี้ ก็จะได้รับการช่วยเหลือแบบฉุกเฉินในทันที มีระบบที่จะทำให้รัฐบาลกลางรู้ได้ในทันทีถึงจำนวนคนว่างงานของเมือง แบบ real -time อีกเช่นกัน เพื่อการบริหารและจัดการปัญหาได้อย่างรวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ..ต้องบอกว่าประเทศจีนพัฒนาไปได้รวดเร็วจริงๆ
Copenhagen
โคเปนเฮเกน เป็นอีก เมืองที่มีความเป็นอัฉริยะมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก โคเปนเฮเกนมีเป้าหมายที่จะลดการปล่อยคาร์บอนลงให้เป็น 0 ในปี 2025 ซึ่งจะเป็นการเร่งให้เกิดการปฏิวัติเทคโนโลยีต่างๆเพื่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น
นอกจากนั้น เมืองยังมีเป้าหมายเพื่อความเป็นอยู่แบบยั่งยืน มีการใช้ระบบอัจฉริยะในการควบคุมไฟบนท้องถนน ใช้พลังงานแสงอาทิตย์ในที่สาธารณะ มีระบบขนส่งสาธารณะที่ทันสมัยมากๆในยุโรป มีการให้เข้าถึงมูลต่างๆของเมืองอย่างเปิดกว้างเพื่อการพัฒนา เช่น app หาที่จอดรถที่ว่างในเมือง , สมาร์ทโฟน สามาถควบคุมการเปิดปิดเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน และเครือข่ายการแลกเปลี่ยนจักรยาน เหล่านี้ทำให้โคเปนเฮเกนมีความก้าวหน้าไปอย่างมากในการเป็น Smart City
New York
New York มีภาพที่ชัดเจนในการมุ่งสู่ความเป็น Smart City และเร่งมือเพื่อไปสู่จุดหมาย งานชิ้นหนึ่งคือการร่วมมือกับ Cisco และ city24/7 สร้าง รูปแบบที่ให้ชาวเมืองมีส่วนร่วม (interactive platform) โดยการเปลี่ยนตู้โทรศัพท์สาธารณะเก่า ที่ไม่ใช้แล้วมาเป็นการติดตั้งจออัจฉริยะ ทั่วเมือง เพื่อรายงานข่าว เหตุการณ์ และคูปองต่างๆ เป็นส่วนหนึ่งในแผนงานที่จะทำให้ชาวเมืองสามารถเข้าถึงการใช้อินเทอร์เน็ตได้ทั้งหมด โดยใช้ NFC technology และ Wi-Fi
Santiago
ซานดิเอโก้ เป็นเมืองที่มีการเติบโตของจำนวนประชากรอย่างรวดเร็ว มีชาวลาตินอเมริกา ที่อพยพเข้ามาเป็นจำนวนมาก ถ้าไม่ทำอะไรเลย ด้วยการเติบโตแบบนี้ก็จะทำให้เมืองกลายเป็น เมืองสลัม (urban slum) ไปอย่างแน่นอน ซานดิเอโก้ได้รับคำแนะนำจากบริษัททางด้านเทคโนโลยี อย่าง IBM และกำล้งสร้างเมืองที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม การขนส่งสาธารณะที่ใช้ไฟฟ้า ด้วยรถประจำทางไฟฟ้า มีการสร้างจุดจ่ายไฟเพื่อเติมแบตเตอร์รี่ให้กับรถยนต์ ทั้งรถส่วนตัว และรถแท๊กซี่ นอกจากนี้ เมืองยังพุ่งเป้าไปที่การพัฒนาระบบออโตเมชั่น ในบ้านพักอาศัย ระบบที่จะทำให้การใช้พลังงานมีประสิทธิภาพสูงสุด รวมถึงการนำพลังงานแสงอาทิตย์มาใช้ด้วย
Seattle
เมืองที่มีสำนักงานใหญ่ ของแบรนด์ระดับโลกอย่างโบอิ้ง, ไมโครซอฟท์ และสตาร์บัค เป็นเมืองที่ถูกจัดให้เป็นเมือง Smart City ในลำดับต้นๆของโลก อีกเมือง มีการให้สิทธิทางภาษีอย่างมากมาย กับภาคธุรกิจ และประชาชนที่มีการใช้จ่าย นำ green technology มาใช้ ชาวบ้านทั่วๆไป จะได้รับบริการในการติดตั้งฉนวนกันความร้อน ความเย็น ทั้งฝ้าเพดาน ผนัง หน้าต่างและอื่นๆ ซึ่งช่วยให้เมืองประหยัดการสูญเสียพลังงานอย่างไม่จำเป็น
นอกจากนี้ เมืองซีแอตเทิ้ลยังเป็นเมืองที่อยู่ในระดับแนวหน้าของสหรัฐอเมริกาในการนำเทคโนโลยี เพื่อสิ่งแวดล้อมมาใช้ในอาคารต่างๆ มีการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ
Stockholm
ใน ปี 2010 สต็อกโฮมได้รับ การประกาศให้เป็น “Europe’s Green Capital of 2010” หรือเมืองหลวงทางด้านสิ่งแวดล้อมของยุโรป ในปี 2010 มีการใช้นโยบายต่างๆในการส่งเสริมทางด้านสิ่งแวดล้อม เช่นการลดภาษี ให้กับบริษัทต่างๆ ที่มีการประหยัดการใช้พลังงาน
โคเปนเฮเกน มีระบนโครงข่ายขนส่งที่อัจฉริยะมากๆ นอกจากนี้ยังเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยสีเขียวของต้นไม้พุ่มไม้ มีสวนสาธารณะมากถึง1,000 แห่ง หรือคิดเป็น 30% ของพื้นที่เมือง ชาวเมืองเองก็ให้ความร่วมมือ มีการรีไซเคิ้ลขยะมากถึง 100 กก.ต่อคนต่อปี ชาวเมือง 90% อาศัยอยู่ห่างจากพื้นที่สีเขียว ในระยะ 300 เมตร
Vienna
เวียนนา เป็นมหานครที่มีการเติบโตอย่างรวดเร็ว ด้วยประชากรมากกว่า 1. 7ล้านคน เป็นหนึ่งในเมืองสีเขียว ที่มีเป้าหมายจะเขียวให้ได้มากที่สุด ปัจจุบัน มีการใช้พลังงานทดแทน ถึง14% มีโรงงานผลิตพลังงานชีวภาพใหญ่ที่สุดในยุโรป และมีเป้าหมายที่จะติดตั้ง แผงผลิตพลังงานแสงอาทิตย์ (solar panels) ให้ได้ 300,000 ตารางเมตรในปี 2020 ซึ่งจะให้พลังงานจากแสงอาทิตย์ได้อย่างมาก เป็นเมืองที่ถูกจัดให้เป็นเมืองที่มีคุณภาพชีวิตดีที่สุดในยุโรป และในโลก