สำนักข่าวเอพีโดย เดนิส เกรย์ เสนอรายงานกึ่งวิเคราะห์ชิ้นหนึ่งเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายนเกี่ยวกับพระอัจฉริยะของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงมองการณ์ไกลเกี่ยวกับการแก้ปัญหาน้ำท่วมอย่างยั่งยืน ก่อนหน้าจะเกิดอุทกภัยครั้งร้ายแรงที่สุดใน 50 ปี พระองค์ทรงเตือนหลายครั้งเรื่องการพัฒนามากเกินไป รวมทั้งมีพระราชดำริหลายประการเพื่อบรรเทาความเสียหายจากการหนุนของน้ำทะเลในแต่ละปี นอกเหนือจากการรับมือกับฤดูน้ำหลาก
“ความพ่ายแพ้ของประเทศไทยต่อน้ำท่วมใหญ่ครั้งนี้ ทำให้ประชาชนเกือบ 400 รายเสียชีวิต พลเมืองนับแสนต้องกลายเป็นผู้อพยพ เป็นบทเรียนที่แสนแพงจากการละเลยคำเตือนของพระองค์ รวมทั้งการฝืนควบคุมพลังธรรมชาติที่มีศักยภาพเหนือกว่ากำลังของมนุษย์ทั้งมวล”เอพีกล่าว
พระองค์ทรงเป็นนักพัฒนา ทรงมีผลงานด้านการจัดการน้ำโครงการแรกเมื่อปี 2506 ณ วังไกลกังวล ที่ทรงสร้างเขื่อนกั้นน้ำจืดเพื่อป้องกันน้ำทะเลปนเปื้อนในแหล่งน้ำจืดนั้นได้ ซึ่งเป็นจุดกำเนิดของโครงการในพระราชดำริมากกว่า 4,300 โครงการ โดย 40% ของโครงการเหล่านั้นเป็นโครงการบริหารจัดการน้ำ
นายเดวิด เบลค ผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดการน้ำแห่งมหาวิทยาลัยอีสต์ แองเกลีย ประเทศอังกฤษ ซึ่งทำวิจัยเกี่ยวกับโครงการจัดการน้ำในประเทศไทย กล่าวว่า”นโยบายด้านการบริหารจัดการน้ำของประเทศไทยส่วนใหญ่มาจากพระราชดำริ โครงการในพระราชดำริ และการดำเนินการตามแนวพระราชดำริ ที่พระองค์ทรงทุ่มเทเวลากว่า 40 ปี ในการดำเนินการ” นายเบลค กล่าวด้วยว่าโครงการแก้มลิงตามแนวพระราชดำรินั้น หมายถึงการที่ชุมชนโดยรอบกรุงเทพฯ ต้องยอมจมน้ำเพื่อรักษาพื้นที่ใจกลางเมืองหลวงเอาไว้ และบางครั้งหน่วยราชการก็ผันน้ำเข้าท่วมพื้นที่การเกษตรแทนที่จะเป็นแหล่งเก็บน้ำ
นอกจากนั้นอุปสรรคอีกประการหนึ่งต่อโครงการแก้มลิงคือ พื้นที่ซึ่งถูกใช้เป็นแก้มลิงเพื่อรองรับน้ำในทางตะวันตก ตะวันออก และตอนเหนือของกรุงเทพฯได้พ่ายแพ้ต่อการหลั่งไหลของกระแสทุนจนกลายเป็นพื้นที่สร้างศูนย์อุตสาหกรรม ที่พักอาศัย สนามกอล์ฟ และท่าอากาศยานนานาชาติ
พระองค์นับเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์แรกในโลกที่ทรงครอบครองสิทธิบัตรจากการสร้างนวัตกรรมจากพระราชดำริ
credit : http://apacnews.net/news