ฉันมีเพื่อนสมัยเรียนชั้นประถมคนหนึ่ง เราไม่ได้เจอกันนานมาก กว่า 30 ปีเห็นจะได้ ในวันที่สื่อสังคมออนไลน์เบ่งบาน เรามีโอกาสได้ทักทายกันอีกครั้งจากการแนะนำของเพื่อนอีกคนที่เป็นตำรวจ เราห่างไกลบ้านเกิดเมืองนอนมานาน ปีสองปีจะกลับบ้านสักครั้ง ส่วนใหญ่ใช้เทคโนโลยีการสื่อสารติดต่อกับพ่อแม่พี่น้อง ในวันที่เรากลับมาคุยกันทักทายกัน ฉันได้รู้ว่าเขามีอาชีพรับซื้อขยะขายอยู่แถว อ.บ้านแพ้ว จ.สมุทรสาคร ในขณะเดียวกันก็เป็นอาสาสมัครมูลนิธิแห่งหนึ่งของจังหวัด ช่วงนั้นวันใดที่เขาขับรถไปรับซื้อขยะจากคนราชบุรี เขาจะส่งข้อความมาทักทาย วันนี้ฉันนึกถึงเขา แรงบันดาลใจให้เขียนเรื่องราวเหล่านี้ขึ้นมา
“คนเก็บขยะ คุณธรรมข้างถนน”
บ้านฉันอยู่คลองสามวา กรุงเทพฯ ทุกวันฉันจะเก็บขวดน้ำดื่มใส่ถุงขยะสีดำขนาดใหญ่ไว้ให้คุณยายคนหนึ่งแถวบ้าน บางทีก็มีกระดาษรีไซเคิล สมุดและหนังสือเก่า บางครั้งฉันก็เก็บหย่อนลงถังขยะหน้าบ้าน แบ่งปันให้พนักงานเก็บขยะของ กทม. ด้วยความซุกซนอยากรู้อยากเห็นก็มักจะถามพวกเขาอยู่บ่อยๆ ว่า ขายขยะกันยังไง ได้ราคาดีมั๊ย คำตอบที่ได้คือ ขายแล้วก็แบ่งกัน มี 3 คนก็แบ่งเท่าๆ กัน แต่ละเดือนก็หลักหมื่นบาท เป็นรายได้ค่ากับข้าว ค่าน้ำ ค่าไฟ ให้ลูกไปโรงเรียน เกิดเหตุด่วนเหตุร้ายอยู่หลายครั้งในแต่ละปี รถเก็บขยะไม่มา 3-4 วัน คนในหมู่บ้านจะเดือดร้อน ขยะล้นถัง ส่งกลิ่นเหม็น เราก็คิดว่าคนเก็บขยะมีความสำคัญจริงๆ หากวันใดห้วงเวลาใดขาดพวกเขา ชุมชนก็คงอยู่ไม่ได้หรืออยู่ลำบากต้องทนดมกลิ่นเน่าๆ เหม็นๆ ความสุภาพ นอบน้อมของพวกเขา ทำให้หัวใจอ่อนโยน สงสารก็ใช่ เห็นใจก็ใช่ เก็บมาคิดเรื่อยมา อาชีพแบบนี้งานแบบนี้จะมีสักกี่คนที่เห็นคุณค่า เห็นความสำคัญ “คุณธรรมข้างถนน”
“ขยะ” “คนเก็บขยะ” และ “คุณธรรมข้างถนน”
เข้าสู่ห้วงคำนึง อยากเขียนอะไรบางอย่างถึงรัฐบาล อยากบอกอะไรบางอย่างกับรัฐบาล ความตั้งใจประดังประเดเข้ามา ตัดสินใจว่าต้องเขียนถึงรัฐบาลให้ได้ นึกถึงเพื่อน นึกถึงคุณยายที่ขอขวดน้ำดื่ม ขอกระดาษรีไซเคิล และคนเก็บขยะของ กทม. ช่วงวิกฤตของบ้านเมืองพอดีในเวลานั้น แต่ความตั้งใจมิได้ลดน้อยลง ความมุมานะบากบั่นว่าจะต้องเขียนเรื่องนี้ให้ได้ และก็เขียนสำเร็จขึ้นมาจนได้ มอบผ่านเลขานุการส่วนตัวนายพลทหารท่านหนึ่ง แต่ช่วงนั้นท่านกำลังจะเกษียณ การผลักดันนโยบายทำได้ยาก ผ่านมาปีกว่ามีตำรวจนายหนึ่งอยากตั้งมูลนิธิเขาขอให้เขียนยุทธศาสตร์มูลนิธิ และโครงการของมูลนิธิที่จะทำในรอบปี “คนเก็บขยะ คุณธรรมข้างถนน” ผุดขึ้นมาในสมองอีกครั้ง ในที่สุดก็ไปอยู่ในที่ประชุมคณะกรรมการมูลนิธิจนได้ แต่ไม่ทราบว่ามีการดำเนินการกันจริงๆ จังๆ หรือไม่ ด้วยภาระงานด้านอื่นและจบหน้าที่ตรงนั้นไปแล้ว
5-6 ปีที่แล้ว เคยประสานงานกับนายทหารยศพันเอกท่านหนึ่ง นามสกุลดัง เข้าถึงได้ค่อนข้างยาก มีการพูดคุยทักทายกันด้วยเรื่องงานวิจัยของท่านอัยการซึ่งมีศักดิ์เป็นพี่ชาย ต่อมาทิ้งช่วงระยะเวลาหลายปีจึงมีโอกาสได้ติดต่ออีกครั้ง แรงบันดาลใจทำให้ส่งเรื่อง “คนเก็บขยะ คุณธรรมข้างถนน” ถึงนายพันท่านนี้ก็คือ ข่าวจากสื่อต่างๆ ที่นำเสนอขยะล้นเมืองของจังหวัดนครศรีธรรมราช หลายหน่วยงานหลายฝ่ายพยายามร่วมกันแก้ไขปัญหา แต่ก็ยังไม่สามารถแก้ไขได้สักที ความน้อยเนื้อต่ำใจแบบเด็กๆ ก็ใช่ ความทะเยอทะยานอยากเห็นการแก้ไขปัญหาให้ได้ก็ใช่ ประจวบเหมาะกับช่วงนั้นมีข่าวยายหลานอาศัยที่รกร้างหลังเทศบาลนครศรีธรรมราชอยู่อาศัย มีอาชีพเก็บขยะขายประทังชีวิต ข่าวในวันนั้น ยายหลานนั้นก็ใช่ ทำให้หยิบ “คนเก็บขยะขาย คุณธรรมข้างถนน” ขึ้นมาปัดฝุ่น และตัดสินใจโทรศัพท์ถึงที่ทำงานพันเอกท่านนั้น และส่งเอกสารทางอีเมล ทางเฟซบุ๊คอีกทางหนึ่ง ด้วยความหวังว่าจะเป็นจริงขึ้นมา หวังอย่างนั้นจริงๆ ไม่ได้หวังทรัพย์สินเงินทอง หรือชื่อเสียงอื่นใด
วันนี้หัวใจพองโต ปีติดีใจที่ iURBAN ให้โอกาสได้เขียนถึงเรื่องราวนี้อีกครั้ง ความตื้นตันใจที่จะได้เผยแพร่ให้คนได้อ่านได้รู้ เว็บไซต์ 1 ใน 100 ที่คนติดตามอ่านมากที่สุด ถามตนเองว่า ต้องการอะไร ต้องการบอกให้คนอื่นรู้ หรือต้องการให้เรื่องราวเหล่านี้เป็นจริงขึ้นมา คนเก็บขยะมีคุณภาพชีวิตดีขึ้น รัฐบาลเหลียวแล ให้ความช่วยเหลือ มอบเงินตอบแทนเป็นกรณีพิเศษ หรือต้องการให้อาชีพคนเก็บขยะได้รับสวัสดิการสำหรับครอบครัวเฉพาะ (คนเก็บขยะยังชีพ) โดยรัฐบาลเพิ่มครอบครัวเฉพาะประเภทที่ 5 จากเดิมที่มี 4 ประเภท ได้แก่ ครอบครัวแม่วัยรุ่น ครอบครัวเลี้ยงเดี่ยว ครอบครัวที่มีเด็กพิการและเจ็บป่วยเรื้อรัง และครอบครัวที่มีผู้สูงอายุดูแลเด็กตามลำพัง การดำเนินการในลักษณะดังกล่าว เรียกอีกอย่างว่า “สวัสดิการสังคมในมิติเชิงกลุ่มเป้าหมาย (Target Based) โดยกำหนดนโยบายและแผนการสนับสนุนทางการเงินเพื่อพัฒนาศักยภาพมนุษย์
คนอ่านอาจจะสงสัยว่าทำไมเสนอแนวคิดเช่นนี้ หลายคนอาจจะไม่ทราบว่าขยะที่นำมารีไซเคิลมีแนวโน้มมากขึ้นทุกปี ในขณะที่คนเก็บขยะขาย หรือเรียกทางการว่า “คนเก็บขยะยังชีพ” และคนรับซื้อขยะมีจำนวนมากขึ้นทุกปี จนกลายเป็นอาชีพหนึ่งของคนด้อยโอกาส คนยากคนจน หรือคนยากไร้ อาชีพคนเก็บขยะ (Waste Pickers) เป็นแรงงานนอกระบบที่ทำงานท่ามกลางความสกปรก เสี่ยงอันตราย และเป็นที่น่ารังเกียจ แต่ในความเป็นจริงแล้วเป็นอาชีพที่มีคุณค่าและยืนหยัดควบคู่กับการกำจัดขยะมูลฝอยของประเทศต่างๆ ทั่วโลก ซึ่งธนาคารโลกประมาณการณ์ไว้ว่า ร้อยละ 1 ของประชากรโลกในประเทศกำลังพัฒนามีรายได้เพื่อยังชีพจากอาชีพเก็บขยะ ในประเทศไทยพบว่าอาชีพคนเก็บขยะขายมีฐานะยากจน ไร้ที่ทำกิน โดยเฉพาะผู้หญิงและเด็กมีรายได้ต่ำสุดเฉลี่ยวันละ 51 บาท สูงสุด 200 บาท โดยเฉลี่ยมีรายได้ 51-100 บาทต่อวัน จะเห็นว่าคนเก็บขยะเป็นอาชีพที่มีคุณค่า แม้จะมีรายได้เพียงเล็กน้อยเพื่อการยังชีพ แต่ถ้าในสังคมไม่มีอาชีพนี้อยู่เลย สังคมเมืองคงประสบความยากลำบากในการกำจัดขยะมูลฝอยซึ่มีปริมาณมากขึ้นทุกปี ลำพังเจ้าหน้าที่ของทางราชการทำหน้าที่ขนส่งขยะไปกำจัดนั้นไม่เพียงพอในการคัดแยกและนำวัสดุกลับมาใช้ใหม่ คนเก็บขยะจึงเปรียบเสมือนฟันเฟือนของกระบวนการกำจัดขยะ หรือเปรียบเสมือนผู้ย่อยสลายในห่วงโซ่อาหาร เมื่อตระหนักถึงคุณค่าของอาชีพนี้ ลำดับถัดไปคือ การส่งเสริม คุ้มครองสิทธิของคนเก็บขยะ เพื่อให้ได้รับสิทธิประโยชน์ทางสังคมจากการทำงานเลี้ยงชีพ
ขยะมิได้เป็นแค่เพียงวัสดุสิ่งของเหลือกินเหลือใช้ แต่ขยะอาจจะเป็นทองคำมูลค่ามหาศาล เช่นเดียวกับคนเก็บขยะหรือคนเก็บขยะขายก็ไม่ใช่อาชีพน่ารังเกียจ คลุกคลีกับสิ่งสกปรกโสมม แต่อาจจะเป็นเศรษฐีที่สร้างมูลค่าการค้าการลงทุนให้กับประเทศก็ได้