เมื่อคนใกล้ตัวชวนไปเที่ยว “บ้านแม่กำปอง”
ว่ายังไง ว่าตามนั้น ไม่มีการเตรียมตัวใด ๆ ทั้งสิ้น กระทั่งจะหาข้อมูลล่วงหน้าสักนิดว่าบ้านแม่กำปองเป็นสถานที่แบบไหนยังไม่ทำเลย
และ…อะไรที่ไม่ได้เตรียมตัว มักสร้างความประหลาดใจ ในระดับที่สั่นสะเทือนได้เสมอ
“บ้านแม่กำปอง” หมู่บ้านเล็กในหุบเขา
แม่กำปองเป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ ตั้งอยู่ในหุบเขาที่โอบล้อมด้วยภูสูงรอบด้านในจังหวัดเชียงใหม่ มีถนนเล็ก ๆ สายเดียวเป็นทางสัญจรผ่านเข้าออก ถนนสายนั้นเมื่อถึงบริเวณวัดใจกลางหมู่บ้านค่อนข้างแน่นหนาเล็กน้อย ด้วยมีรถนักท่องเที่ยวผ่านขึ้นลงไม่ขาดสาย เมื่อรถจอดนิ่งตรงลานวัดแคบ ๆ นักท่องเที่ยวจำนวนมาก (อย่างน่าแปลกใจ) พากันเข้าเที่ยวชมหมู่บ้าน ซึ่งบ้านเรือนในชุมชนยังคงสภาพเป็นบ้านไม้เรียบง่าย แทรกตัวตามไหล่เขาที่เขียวครึ้ม ร้านอาหาร ร้านขายของที่ระลึก และร้านกาแฟข้างทางสร้างขึ้นจากวัสดุท้องถิ่นนั่นทำให้สภาพของหมู่บ้านยังคงความเป็นบ้านเล็กในป่าใหญ่ที่กลมกลืนกับแวดล้อมสีเขียวได้อย่างไม่ประดักประเดิด
ก่อนหน้าที่แม่กำปองจะคึกคักเต็มไปด้วนักท่องเที่ยวแบบนี้ ย้อนกลับไปเมื่อ 40 ปีที่แล้ว หมู่บ้านแห่งนี้ยังเป็นพื้นที่ทุรกันดาร ห่างไกลจากความเจริญ มีเพียงทางดินเล็ก ๆ ติดต่อกับโลกภายนอก ชาวบ้านในพื้นที่ประกอบอาชีพเกษตรกรรม มีรายได้ไม่มากนัก ความเป็นอยู่ยากลำบาก ไม่มีไฟฟ้าใช้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เมื่อทรงทราบว่าพื้นที่แห่งนี้ยังไม่มีไฟฟ้า จึงได้มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สร้างโรงไฟฟ้าพลังน้ำขึ้นในปี พ.ศ. 2522 ด้วยทรงเห็นว่าหมู่บ้านแห่งนี้มีสายน้ำที่ไหลแรงพอที่จะปั่นไฟใช้เองได้ นับแต่นั้นมาแม่กำปองจึงมีไฟฟ้าใช้ และมีการปรับปรุงถนนเข้าสู่หมู่บ้านให้สะดวกยิ่งขึ้น
และในปีพ.ศ. 2524 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชได้ทรงพระราชทานทรัพย์ส่วนพระองค์ ก่อสร้างศูนย์พัฒนาโครงการหลวงตีนตกบนพื้นที่ใกล้ ๆ เพื่อเป็นแหล่งพัฒนา สาธิต ส่งเสริมการเพาะเห็ดหอม และกาแฟให้เป็นอาชีพเสริมแก่ประชาชนนอกเหนือจากการปลูกเมี่ยงที่ทำมาแต่ดั่งเดิม นั่นทำให้ชาวบ้านแม่กำปองเริ่มปลูกกาแฟ ควบคู่ไปกับการปลูกต้นเมี่ยง
แล้วเรามาทำอะไรกันที่ “แม่กำปอง”
หมู่บ้านเล็ก ๆ ในหุบเขาท่ามกลางธรรมชาติที่เงียบสงบ กระทั่งได้ยินเสียงธารน้ำไหลผ่านหมู่บ้านทุกย่างก้าวไม่ว่าไปที่ใด เสน่ห์นั้นคือความเขียวครึ้ม อากาศที่เย็นสะอาด และสภาพความเป็นอยู่ที่เนิบช้าเรียบง่าย แต่ขณะเดียวกันมีสิ่งอำนวยความสะดวกสนองไลฟ์สไตล์ของนักท่องเที่ยวด้วยร้านอาหาร เพิงขายของ ที่ขายอาหารเหนือ อาหารพื้นบ้าน และมีอาหารภาคกลางประปรายให้เลือกลิ้มชิมมากมาย และที่ถูกใจนักท่องเที่ยวเป็นพิเศษคงเป็นร้านกาแฟ เบเกอรี่เก๋ ๆ ที่มีให้เลือกหลายร้าน และแต่ละร้านมีเมนูขนมหวานหน้าตาน่าทานไม่แพ้ร้านหรู ๆ ในตัวเมืองทีเดียว
แต่อย่าได้หยุดแค่บรรยากาศชิค ๆ เก๋ ๆ ที่คล้ายหลอกตานั้น หมู่บ้านแม่กำปองมีอะไรให้สัมผัสมากกว่านั้น ภายในหมู่บ้านมีเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติสำหรับผู้สนใจ โดยมีคนในท้องถิ่นนำทางใช้เวลาในการเดินศึกษาประมาณ 2 ชั่วโมง
ศึกษาธรรมชาติ ผ่านไร่กาแฟ ไร่เมี่ยง และป่าต้นน้ำ “แม่กำปอง”
เส้นทางศึกษาธรรมชาติเริ่มต้นจากวัดประจำหมู่บ้าน ผ่านไร่เมี่ยง ไร่กาแฟ ไปสู่ป่าต้นน้ำ ก่อนจะนำขึ้นไปยังน้ำตกแม่กำปอง และย้อนกลับลงมายังชุมชน
วัดคันธาพฤกษาเป็นวัดเก่าแก่ประจำหมู่บ้าน สร้างขึ้นตั้งแต่แรกมีการตั้งถิ่นฐานของชุมชน วิหารวัดเป็นสถาปัตยกรรมแบบล้านนา มีโก่งคิ้ว และบริเวณหน้าบันแกะสลักเป็นลวดลายสวยงาม แต่ที่ขโมยซีนคือหลังคาวิหารที่ปกคลุมด้วยมอสและต้นเฟิร์นหนาแน่น จากฝีมือธรรมชาติที่เข้ามาร่วมแต่งแต้มจนหลังคาวิหาร ดังกล่าวกลายเป็นสวนลอยฟ้า นอกจากตัววิหารที่มีสวนลอยฟ้าบนหลังคาแล้ว อุโบสถของทางวัด ยังแปลกไม่เหมือนใคร ด้วยเป็นอุโบสถที่ตั้งอยู่กลางสายน้ำ มีน้ำล้อมรอบแทนใบเสมา ด้วยสภาพดังกล่าวทั้งตัววิหารและพระอุโบสถจึงกลมกลืนเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติรอบด้าน ชวนให้ผู้เข้ามาในเขตวัดสัมผัสถึงความสงบและร่มเย็น
เมื่อเดินผ่านเนินเขาด้านหลังวัด เราเริ่มเข้าสู่ไร่กาแฟ และไร่เมี่ยงที่ชาวบ้านปลูกผสมผสานกับไม้ใหญ่ดั้งเดิม เมล็ดกาแฟสีแดงที่กำลังสุกบนต้นทำให้แยกต้นกาแฟออกได้ง่าย ชาวบ้านกำลังเก็บผลกาแฟที่กำลังสุกจัดพอดี จึงชักชวนให้เราลองชิมผลกาแฟสด ที่มีรสหวานปนฝาดนิด ๆ ต้นกาแฟที่นี่เป็นกาแฟพันธุ์อาราบิก้าคุณภาพดี ผลที่สุกจัดนี้ จะถูกนำไปกระเทาะเปลือกออก แช่น้ำทิ้งไว้สองคืนเพื่อล้างเมือกออกได้ง่ายขึ้น จนเหลือแต่เปลือกชั้นในที่เรียกว่า “กะลากาแฟ” จากนั้นจึงนำไปตากแดดจนแห้งสนิท เพื่อนำไปคั่วเป็นเมล็ดกาแฟสีเข้มหอมกรุ่นที่เราคุ้นชินต่อไป
ระหว่างที่เดินไปตามไร่กาแฟนั้น กลิ่นกาแฟหอม ๆ โชยมาให้ได้กลิ่นเป็นระยะ
“เขากำลังคั่วเมล็ดกาแฟกันอยู่ ห้อม หอมนะ” คนนำทางหันมาบอกพวกเรา และในบางช่วง เรายังได้เห็น “กะลากาแฟ” ที่ชาวบ้านวางตากแดดทิ้งไว้
นอกจากต้นกาแฟแล้ว ระหว่างทางมีต้นเมี่ยงให้เห็นเป็นระยะ ต้นเมี่ยงนั้นดูยากกว่าต้นกาแฟเพราะไม่มีผลสีแดง ๆ ให้สังเกตแยกแยะ ต้องดูจากลักษณะใบอย่างเดียว แล้วสายตาคนที่ไม่คุ้นชินอย่างพวกเรา ต้องคอยถามคนนำถามตลอดว่า “ใช่มั้ย ใช่ต้นเมี่ยงมั้ย”
ต้นเมี่ยง เป็นภาษาถิ่นของภาคเหนือ คืนต้นชา นั่นเอง เมี่ยงที่ชาวบ้านปลูกเป็นชาอัสสัมที่ขึ้นได้ดีในสภาพอากาศเย็น ชุ่มชื้น และอยู่ใต้ร่มไม้
ชาวบ้านจะเก็บใบเมี่ยงสด ซึ่งปีหนึ่ง ๆ จะเก็บได้ประมาณ 3-4 ครั้งช่วงที่ดอกชากำลังบาน เพื่อนำไปทำเมี่ยงหมัก
ไม้ตุ้ม ไม้เก็บกักน้ำ บ้านเแม่กำปอง
ในที่สุดเราก็มาถึงบริเวณต้นน้ำ สิ่งที่ชวนตื่นตาคือต้นไม้ขนาดใหญ่หลายคนโอบที่ชาวบ้านเรียกไม้ตุ้ม ยืนอวดลำต้นให้เห็น ไม้ตุ้มเป็นไม้ต้นน้ำที่เก็บกักน้ำได้จำนวนมาก ความสามารถในการเก็บกักน้ำของไม้ชนิดนี้ปรากฏให้เห็น ตอนดินลัดเลาะริมธารน้ำเพื่อกลับไปยังหมู่บ้าน ด้วยพื้นที่ใกล้กับไม้ตุ้มขนาดใหญ่ต้นหนึ่งมีน้ำที่ผุดจากบริเวณราก ไหลเป็นทางน้ำลงไปยังธารน้ำที่อยู่ใกล้ ๆ เป็นภาพที่ฟ้องให้เห็นกันจะจะว่าต้นไม้ ป่าไม้ ช่วยเก็บกักน้ำให้อุดมสมบูรณ์ได้อย่างไร
แล้วเราก็ออกมาบรรจบกับถนนใหญ่อีกครั้ง เพื่อเข้าไปชมวิวหมู่บ้านผ่านทางระเบียงร้านกาแฟชมนกชมไม้ที่อยู่ตรงพื้นที่ ที่เห็นภาพหมู่บ้านได้ชัดเจน ก่อนที่จะเดินขึ้นไปชมน้ำตกแม่กำปองที่อยู่ถัดจากหมู่บ้านขึ้นไป
ระหว่างทางเจอผักอะไรที่กินได้ คนนำทางจะเด็ดขยี้ให้เราลองดมกลิ่นไปตลอดทาง ให้รู้สึกอิจฉาความสมบูรณ์ของพื้นที่ ที่แทบทุกตารางนิ้วของหมู่บ้าน ราวสวนผัก จะเลือกเด็ดเก็บอะไรไปทำกับข้าวก็ได้
หลังจากชมน้ำตกประจำหมู่บ้าน เราเดินย้อนกลับเข้าไปในหมู่บ้าน แวะชมงานหัตถกรรมของชาวบ้านที่นำไม้ไผ่มาสานจักรเป็นงานต่าง ๆ ชมดูอุปกรณ์ที่ใช้ในการหมักเมี่ยง และวิธีการนำใบเมี่ยงที่แก่จัดทำเป็นหมอนใบชา ซึ่งเป็นอีกหนึ่งผลิตภัณฑ์ของชาวบ้าน
ระหว่างทางนั้นเอง ฉันบังเอิญหันไปเห็นไม้ดอกสีเหลืองชนิดหนึ่งเข้า เมื่อสอบถามจึงรู้ว่า เป็นต้นกำปอง และเจ้าดอกกำปองสีเหลืองนี้แหละที่เป็นที่มาของชื่อหมู่บ้าน
“ขึ้นเยอะตามริมทางน้ำ” คนนำทางบอกกับพวกเรา “เลยเอามาเป็นชื่อเรียก แม่มาจากแม่น้ำ กำปองก็มาจากชื่อต้นไม้ เลยเรียกรวมกันว่า “แม่กำปอง”
ใช้เวลา 2 ชั่วโมง เพื่อศึกษาธรรมชาติ แม่กำปอง
เราใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงพอดิบพอดีสำหรับเดินสำรวจเส้นทางศึกษาธรรมชาติ
เมื่อเยี่ยมชมทั้งไร่กาแฟ ไร่เมี่ยงแล้ว ต้องลองลิ้มชิมผลิตภัณฑ์ ที่อุตส่าห์ได้ไปเห็นตั้งแต่ต้นทางของกระบวนการ นั่นคือยำใบเมี่ยงซึ่งเป็นเมนูแนะนำของร้านอาหารหลายร้าน ใบเมี่ยงสด ๆ ที่เก็บได้ถูกนำมาปรุงเป็นยำรสชาติจัดจ้าน แต่ชาวบ้านทุกคนจะเตือนเหมือนกันหมดว่าอย่าทานเมนูนี้เป็นอาหารมื้อเย็นเด็ดขาด เพราะฤทธิ์จากใบชาจะทำให้นอนไม่หลับ
และอย่าลองลืมดื่มกาแฟที่นี่ โดยเฉพาะกาแฟดริบที่บาริสต้ากล่าวอย่างภูมิใจ หลังจากที่ฉันกล่าวชมรสกาแฟที่นุ่มนวลออกเปรี้ยวนิด ๆ ว่ากาแฟที่เราดื่มนั้น เขาทำเองตั้งแต่เก็บผลกาแฟ คั่วเมล็ด กระทั่งมาบดชงให้ลูกค้า…
ฉนั้นเรามาทำอะไรกันที่แม่กำปอง
สูดอากาศบริสุทธิ์
เรียนรู้วิถีชาวบ้าน
และสุดท้ายลิ้มชิมผลิตภัณฑ์ของหมู่บ้านประสาคนเมือง