สถาปัตยกรรมแบบกอธิค
สถาปัตยกรรมเชิงศรัทธาทางคริสต์ศาสนานั้นข่มตัวตนของมนุษย์ให้รู้สึกตัวกระจ้อยร่อยได้ชะงัดนัก โดยเฉพาะมหาวิหารแบบสถาปัตยกรรมกอธิค
สถาปัตยกรรมแบบกอธิคเกิดขึ้นในยุคกลาง ช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 12-16 เป็นรูปแบบสถาปัตย์ที่ช่วยให้สถาปนิกบรรลุวัตถุประสงค์เชิงศรัทธาทางศาสนาของพวกเขา
พื้นที่ว่างอันศักดิ์สิทธิ์
เริ่มจาก “การเพิ่มพื้นที่ว่างอันศักดิ์สิทธิ์”
มหาวิหารเซนต์วิตัส (St Vitus Cathedral) เมืองปราก ประเทศสาธารณรัฐเชค เป็นตัวอย่างของมหาวิหารแบบ กอธิคที่แสดงให้เห็นถึงลักษณะดังกล่าวได้อย่างชัดเจน
ทันทีที่ก้าวล่วงเข้าไปด้านใน รู้สึกราวได้ผ่านเข้าไปสู่อีกดินแดนหนึ่ง เพดานด้านในนั้นสูงลิ่วจนน่าใจหายและ โค้งจรดต่อเนื่องกันกลายเป็นลวดลายต่อเนื่องนำสายตาไปสิ้นสุดที่ปลายอาคารอีกด้าน นี่เป็นความตั้งใจ และเป็นจุดเด่นของสถาปัตยกรรมกอธิค ในการเพิ่มพื้นที่ว่างในแนวตั้ง เมื่อแหงนหน้ามองเพดานที่สูงลิ่ว และพื้นที่ว่างที่เวิ้งว้างนั้น จึงคล้ายมองพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ พื้นที่ที่เชื่อมโยงระหว่างโลกกับสวรรค์
การสลายตัวเบาบาง และนำแสงสว่างเข้ามาด้านใน
ผนังภายในวิหารเซนต์วิตัสนั้นเบาบาง เพราะออกแบบให้โครงสร้างในการรองรับน้ำหนัก ตั้งอยู่ด้านนอก ทำให้ผนังด้านในไม่มีความจำที่จะต้องรองรับน้ำหนัก ทำให้เจาะผนังเป็นช่องหน้าต่างขนาดใหญ่ติดกระจกสีได้ เปลี่ยนกำแพงโบสถ์ที่เคยดูหนาหนัก เยือกเย็น กลายเป็นผนังโปร่งแสงอันงดงาม โดยเฉพาะช่องหน้าต่างทรงกลม Rose Window ซึ่งนอกจากจะได้ภาพกระจกสีที่งดงามแล้ว ยังช่วยชักนำแสงสว่างมาภายในทำให้เหมือนหลุดเข้ามายังดินแดนอันศักดิ์สิทธิ์ที่สามารถติดต่อกับพระเจ้าได้จริง ๆ
ภาพกระจกสีคือภาพจิตรกรรมฝาผนัง
ช่องหน้าต่างที่ประดับด้วยกระจกสีโปร่งแสง ในสถาปัตยกรรมกอธิค เปรียบเปรยง่าย ๆ คือภาพจิตรกรรมฝาผนังนั่นเอง เป็นการเปลี่ยนวิธีการวาดเรื่องราว เรื่องเล่าทั้งหลายบนผนังปูน เป็นเล่าเรื่องราวผ่านแผ่นกระจกสีโปร่งแสง รูปวาดที่ได้จึงมีสีสันสดใส ทั้งแสงสว่างจากภายนอกเมื่อส่องผ่านกระจกสี เปลี่ยนจากสีธรรมชาติเป็นสีที่เรืองรอง อุ่น และสงบ
ขณะที่นั่งเงียบ ๆ พักภายในมหาวิหาร มองผู้คนมากมายผ่านไปมา แต่ละคนล้วนเดินแหงนหน้ามองไปรอบ ๆ ราวกับมองสรวงสวรรค์ ที่อยู่เบื้องบน เหมือนจะวุ่นวาย แต่สงบอย่างประหลาด พลันให้นึกถึงไม้ใหญ่ที่ต้นสูงลิบลิ่วฟอร์มสวยของบ้านเราอย่างต้นยางนา และต้น สนสองใบ
ไม้ใหญ่เปรียบดั่งมหาวิหารเช่นกัน
ขณะที่ยืนใต้ต้นไม้ใหญ่เหล่านั้น จะเห็นเรือนยอดที่พุ่งสูงขึ้นไปด้านบน เส้นสายของกิ่งก้านที่สมมาตรตัดกับฟ้าสีเข้ม เรือนยอดที่สูงลิ่วนั้น ทำให้เกิดพื้นที่ว่างระหว่างมนุษย์ตัวกระจ้อยที่ยืนอยู่ด้านล่าง กับยอดไม้ด้านบน เป็นพื้นที่ว่าง เฉกเช่นเดียวกับขณะที่ยืนมองเพดานสูงลิ่วของวิหารแบบสถาปัตยกรรมกอธิค….. เงาใบไม้ที่ช่วยกรองแดดของไม้ใหญ่ ช่วยให้การแหงนมองท้องฟ้าเป็นไปอย่างสบายตา ช่างละม้าย กับการแหงนมองแสงสว่างอบอุ่นที่ส่องผ่านหน้าต่างกระจกสีลงมายังพื้นวิหารด้านล่าง
ขณะอยู่ใต้ร่มไม้ใหญ่ หรือใต้ร่มมหาวิหาร จึงให้ความรู้สึกอิ่มเอมไม่ต่างกัน และ…นอกจากความอิ่มเอม แล้ว ช่างข่มข่มมนุษย์ที่ยืนอยู่ด้านใต้ ให้เหลือตัวกระจ้อยร่อย ทั้งขนาด และตัวตนได้ไม่แพ้กัน