อินโดนีเซีย…ประเทศมุสลิมที่ใหญ่ที่สุดในโลก
อินโดนีเซียเป็นประเทศที่ประชากรส่วนใหญ่กว่า 80% นับถือศาสนาอิสลาม นั่นทำให้อินโดนีเซียเป็นประเทศมุสลิมที่ใหญ่ที่สุดในโลก
จึงเป็นเรื่องน่าประหลาดใจ เมื่อพบว่าเมืองยกยาการ์ตา (Yogyakarta) เมืองหลวงของเขตปกครองพิเศษยกยาการ์ตา บนเกาะชวา มีศาสนสถานสำคัญขนาดใหญ่ของศาสนาอื่นที่ไม่ใช่อิสลามถึงสองแห่งได้แก่ บุโรพุทโธ (Borobudur) พุทธสถานที่ใหญ่ที่สุดของโลก และ ปรัมบานัน (Prambanan) เทวสถานฮินดูที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียอาคเนย์ ซึ่งศาสนสถานทั้งสองแห่งนี้สร้างขึ้นในช่วงพุทธศตวรรษที่ 13 ในเวลาไล่เลี่ยกัน สะท้อนให้เห็นอดีตที่เคยเจริญรุ่งเรือง ทั้งด้านวิศวกรรมและศิลปกรรมของดินแดนแห่งนี้
หากศึกษาประวัติศาสตร์ของอาณาจักรหมู่เกาะอินโดนีเซีย จะพบว่าระยะแรกนั้นเป็นรัฐฮินดูกับพุทธศาสนา ซึ่งเส้นทางการเดินทางของศาสนาฮินดู และพุทธศาสนานิกายมหายานที่เผยแพร่มายังเกาะชวานั้น ผ่านมาทางเส้นทางการเดินเรือระหว่าง อินเดีย อินโดนีเซียและจีน โดยได้รับการต้อนรับจากผู้ปกครองท้องถิ่นเป็นอย่างดี ด้วยพิธีกรรมทางศาสนาฮินดูนั้นเหมาะกับทางราชสำนัก ขณะที่แนวคิดทางปรัชญาของพุทธศาสนานั้นมีความลึกซึ้ง
บุโรพุทโธ พุทธสถานที่ใหญ่ที่สุดของโลก
บุโรพุทโธ พุทธสถานที่ใหญ่ที่สุดของโลกตั้งอยู่บริเวณพื้นที่ที่งดงามที่สุดแห่งหนึ่ง บนเนินเขาเตี้ย ๆ แวดล้อมด้วยทิวเขา และภูเขาไฟคู่แฝดที่ขนาบสองด้าน ภูเขาไฟ “เมราปิ” (Mount Merapi)และ “เมอร์บาบุ” (Mount Merbabu) ด้านตะวันออก และภูเขาไฟ “ซัมบิง” (Mount Sumbing) และ “ซุนโดโร” (Mount Sundoro) ด้านตะวันตก
บุโรพุทโธมีรูปทรงคล้ายพีระมิด ประกอบด้วยฐานสี่เหลี่ยมหกชั้น ฐานวงกลมสามชั้น และมีเจดีย์หรือสถูปแบบศรีวิชัยตั้งอยู่ด้านบนสุด
ลักษณะของแผนผังการก่อสร้างสอดคล้องกับความเชื่อทางพุทธศาสนา แสดงถึงหนทางแห่งการรู้แจ้ง ที่เริ่มจากชั้นฐานอันได้แก่ “กามธาตุ” ระดับชีวิตชั้นล่างสุดของมนุษย์ ที่ยังคงหมกหมุ่น เวียนว่ายอยู่ในกิเลส เต็มไปด้วยความอยากได้ อยากมี ตรงระเบียงทางเดินชั้นนี้มีภาพสลักบนแผ่นหิน เป็นภาพเล่าเรื่องราวจากพุทธประวัติ ชาดก การอวตาร ต่าง ๆ และเล่าเรื่องความพากเพียร ของชายหนุ่มชื่อสุธนะในการแสวงหาสัจธรรม
จากนั้นจึงสู่ชั้นกลาง ได้แก่ “รูปธาตุ” อันเป็นชั้นที่มนุษย์แม้จะยังติดอยู่ในกาย และรูป แต่มีสติที่จะควบคุมความรู้สึกฝ่ายต่ำ และพากเพียนที่จะเรียนรู้ถึงคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า บริเวณนี้ไม่มีรูปภาพสลักใด ๆ มีเพียงเจดีย์ทรงระฆังคว่ำที่มีพระพุทธรูปตั้งอยู่ด้านในหันพระพักตร์สู่ท้องฟ้าด้านนอก และชั้นสุดท้ายที่อยู่ด้านบนสุดคือ “อรูปธาตุ” แทนด้วย เจดีย์หรือสถูปแบบศรีวิชัยตั้งอยู่ด้านบนสุดนั่นคือการสู่นิพพาน เป็นการละสิ้นถึงการยึดติดในรูป รส กลิ่น เสียง
เจตนาของการก่อสร้างบุโรพุทโธนั้น เพื่อเป็นสถานที่จาริกบุญสำหรับพุทธศาสนิกชน เพื่อเพ่งพินิจศึกษาความหมายของรูปสลัก นัยยะที่แฝงในรูป ผังของการก่อสร้าง การเดินขึ้นชมบุโรพุทโธ จึงควรเดินเวียนขวาไปตามระเบียงทางเดิน ทีละชั้น ทีละชั้น จากชั้นกามธาตุ ชั้นอรูปธาตุ และขึ้นไปถึงสถูปหรือตัวเจดีย์ชั้นบนสุด….อรูปธาตุ….นิพพาน
บุโรพุทโธได้รับขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกในการประชุมคณะกรรมการมรดกโลก องค์การยูเนสโก (UNESCO) สมัยสามัญครั้งที่ 15 เมื่อปีพ.ศ. 2534 ด้วยเหตุผลดังนี้
- เป็นตัวแทนในการแสดงผลงานชิ้นเอกที่จัดทำขึ้นด้วยการสร้างสรรค์อันชาญฉลาดของมนุษย์
- เป็นสิ่งที่มีอิทธิพลยิ่ง ผลักดันให้เกิดการพัฒนาสืบต่อมาในด้านการออกแบบทางสถาปัตยกรรม อนุสรณ์สถาน ประติมากรรม สวน และภูมิทัศน์ ตลอดจนการพัฒนาศิลปกรรมที่เกี่ยวข้อง หรือการพัฒนาการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์ ซึ่งได้เกิดขึ้นในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง หรือบนพื้นที่ใดๆ ของโลกซึ่งทรงไว้ซึ่งวัฒนธรรม
- มีความคิดหรือความเชื่อที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับเหตุการณ์ หรือมีความโดดเด่นยิ่งในประวัติศาสตร์
ปรัมบานัน เทวสถานฮินดูที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียอาคเนย์
ปรัมบานันเป็นเทวสถานในศาสนาฮินดูที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียอาคเนย์ ห่างจากเมืองยกยาการ์ตาไปทางตะวันออกประมาณ 18 กิโลเมตร ประกอบด้วยเทวาลัยที่สร้างขึ้นจากหินจำนวนหลายหลัง โดยมีเทวาลัยขนาดใหญ่จำนวน 8 หลังอยู่ตรงกลาง รายล้อมด้วยเทวาลัยขนาดเล็กเป็นบริเวารจำนวนมาก รูปทรงของเทวาลัยเหล่านี้คล้ายเจดีย์ทรงกลีบมะเฟืองที่รับอิทธิพลมาจากศิลปะแบบอินเดีย
เทวาลัยองค์ประธานมีด้วยกันสามหลัง หลังที่ใหญ่ที่สุดอยู่ตรงกลางสร้างขึ้นเพือถวายแด่องค์พระอิศวร ขณะที่อีกสองหลังที่มีขนาดเล็กกว่า สร้างขึ้นเพื่อถวายพระนารายณ์ และพระพรหม
ส่วนเทวาลัยขนาดเล็กที่อยู่ด้านหน้าสามหลัง เป็นเทวาลัยสำหรับพาหนะของเทพเจ้าทั้งสาม ได้แก่ โคนนทิ (โค-นน-ทิ) โคเผือก พาหนะของพระอิศวร ครุฑ พาหนะของพระนาราย์ และหงส์ พาหะนะของพระพรหม ตามลำดับ นอกจากนี้ ยังมีเทวาลัยอีกสองหลังเล็กขนาบทั้งสองด้าน เทวาลัยหลังเล็กนี้สร้างขึ้นเพื่ออุทิศให้กับพระสุริยะและพระจันทร์
เทวาลัยปรัมบานันได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกในการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกสมัยสามัญครั้งที่ 15 เมื่อปี พ.ศ. 2534 ด้วยเหตุผล ดังนี้
- เป็นตัวแทนในการแสดงผลงานชิ้นเอกที่จัดทำขึ้นด้วยการสร้างสรรค์อันชาญฉลาดของมนุษย์
- เป็นตัวอย่างอันโดดเด่นของประเภทของสิ่งก่อสร้างอันเป็นตัวแทนของการพัฒนา ทางด้านวัฒนธรรม สังคม
ศิลปกรรม วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี อุตสาหกรรม ในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ