ประวัติศาสตร์ไทยเสมือนเริ่มต้นที่นี่
สุโขทัยแม้ไม่ใช่อาณาจักรเก่าแก่ที่สุดบนแผ่นดินสยาม แต่เป็นอาณาจักรโบราณที่มีหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่ชัดเจน มีการค้นพบหลักศิลาจารึกที่ได้บันทึกเรื่องราวความเป็นไปแห่งราชอาณาจักรใครเป็นผู้ก่อตั้ง มีกษัตริย์กี่พระองค์และเมืองหลวงตั้งอยู่ ณ ที่ใด
ข้อมูลที่บันทึกไว้อย่างละเอียด ทำให้ประวัติศาสตร์ไทยเสมือนเริ่มต้นขึ้น ณ ที่ดินแดนแห่งนี้
จักรยานสี่คัน ค่อย ๆ ขี่เรียงต่อกัน
อากาศกำลังดี ฟ้าใส เมฆสวย ต้นไม้ร่มรื่นแผ่ให้ร่มเงา นี่เป็นบรรยากาศที่เหมาะสำหรับการขี่จักรยานชมโบราณสถานภายในเขตอุทยานประวัติศาสตร์เป็นอย่างยิ่ง
โบราณสถานที่หลงเหลือให้เห็นหนักเน้นไปทางวัดทางพุทธศาสนา อันเป็นศาสนาประจำแห่งราชอาณาจักร ขณะที่พระราชวัง หรือเนินปราสาทพระร่วง หลงเหลือแค่ฐานสูงรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าเท่านั้น ม่เหลือเค้าให้จินตนาการต่อไปได้เลยว่า เวียงวังแห่งกษัตริย์อาณาจักรสุโขทัยเป็นเช่นไร
เมื่อปั่นจักรยานเข้ามาในเขตอุทยานฯ จึงพบกับวัดภายในเขตอุทยานที่มีจำนวนมาก หากหลงเหลือเพียงองค์เจดีย์ และองค์พระขนาดใหญ่ ที่ห้อมล้อมด้วยเสาเรียงรายจำนวนมาก เสาเหล่านั้น ครั้งหนึ่งคือเสาของวิหาร ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานองค์พระพุทธรูป หากผนังและหลังคาไม่เหลืออีกต่อไป เมื่อหันไปทางไหน จึงรู้สึกแปลกตาที่ได้เห็นองค์พระพุทธรูปขนาดใหญ่อวดโฉมให้เห็นแต่ไกล ท่ามกลางองค์เจดีย์ และซากเสาที่หลงเลือ โดยเฉพาะวัดมหาธาตุ วัดขนาดใหญ่ใจกลางเมือง ที่เแลเห็นเป็นแห่งแรกก่อนวัดอื่นใด
และองค์พระขนาดใหญ่นี้เอง ที่ตรึงทุกสายตาให้ทอดมุ่งไปตรงนั้น
พระพุทธรูปสุโขทัยงามอย่างที่สุด ทุกส่วนสัดขององค์พระสอดรับกันอย่างเหมาะเจาะ ไม่มีส่วนไหนดูเทอะทะ ขัดตา และที่สำคัญ พระพักตร์รูปไข่นั้น คล้ายยิ้มเยื้อน เนตรหลุบลงต่ำให้ความรู้สึกที่อิ่มเอิบ สัมผัสได้ถึงความสงบร่มเย็น และเมตตา สะท้อนให้เห็นถึงความรุ่งเรือง ความผาสุขแห่งราชอาณาจักร นี่สินะ สุโขทัยจึงหมายถึงรุ่งอรุณแห่งความสุข
ศ. ดร. สันติ เล็กสุขุม นักประวัติศาสตร์ศิลปะ ได้เปรียบเปรยความงามของสุโขทัยไว้ง่าย ๆ หากเห็นภาพได้อย่างชัดเจน‘สุโขทัยนั้นงามแบบเรียบง่าย พุกามงามด้วยขนาดที่ใหญ่โต ส่วนเขมรนั้นงามอย่างแสดงอำนาจ’
ฉันเห็นด้วยกับวลีนี้เหลือเกิน ‘สุโขทัยงามแบบเรียบง่าย’ สิ่งก่อสร้างที่หลงเหลือให้เห็นในอุทยานประวัติศาสตร์ ให้ความรู้สึกเช่นนั้นจริง ๆเรียบง่าย และมีลักษณะอ่อนช้อยอยู่ในตัว ไม่มีสิ่งก่อสร้างใดที่มีขนาดใหญ่โตจนเกินเลย เพื่อแสดงความโอ้อวดข่มผู้มาเยือนโดยเฉพาะองค์เจดีย์ที่มีอยู่ด้วยกันสามแบบ
เจดีย์ทรงดอกบัว
หนึ่งนั้นคือเจดีย์ทรงดอกบัวเจดีย์ทรงพิเศษที่ปรากฏสร้างขึ้นในยุคสุโขทัยเท่านั้นไม่พบการสร้างเจดีย์ทรงนี้ในยุคอื่นอีกเลยการสังเกตุเจดีย์ทรงดอกบัวนั้นไม่ยาก ให้มองไปที่ยอดด้านบนขององค์เจดีย์ หากมีลักษณะเป็นทรงกลมคล้ายดอกบัวตูม นั่นแหละ คือเจดีย์ทรงดอกบัว
เจดีย์ทรงระฆังคว่ำ
สองนั้นคือ เจดีย์ทรงกลมแบบลังกา…แค่ชื่อที่ตั้งเรียกขานน่าจะพอเดาได้ว่าได้รับอิทธิพลมาจากลังกา หากฉันชอบชื่อเรียกขานอีกชื่อหนึ่งมากกว่า เจดีย์ทรงระฆังคว่ำ เพราะมองอย่างไร เจดีย์ที่อยู่เบื้องหน้า ทรงเหมือนระฆังที่จับมาวางคว่ำจริง ๆ
เจดีย์ทรงปราสาท
และสาม เจดีย์ทรงปราสาท เจดีย์ลูกผสมระหว่างศิลปะศรีวิชัยผสมทรงกลมแบบลังกา สังเกตได้จากฐานด้านล่างที่เป็นสี่เหลี่ยมสถูปแบบศรีวิชัย แต่องค์เจดีย์เป็นทรงระฆังคว่ำแบบลังกา เพียงแต่มีขนาดที่เล็กกว่า เพราะแค่ฐานที่เป็นสถูปก็ยกพื้นขึ้นมาสูงมากแล้ว
สามลักษณะที่หากจดจำลักษณะเด่นได้ จะช่วยให้การเที่ยวชมภายในอุทยานฯ เพลิดเพลินขึ้นไม่น้อย เลยทีเดียว
หลังจากปั่นจักรยานเวียนชมภายในอุทยานฯจนทั่ว พบว่าวัดที่ดูจะแปลกกว่าวัดอื่นในเขตอุทยานฯคือวัดศรีสวาย ตำแหน่งที่ตั้งเอง อยู่ค่อนข้างห่าง และแยกเป็นสัดส่วนจากวัดอื่น นอกจากต้องปั่นจักรยานไปจนเกือบสุดเขตแล้ว เมื่อจอดจักรยาน ยังต้องเดินผ่านคูน้ำที่สร้างล้อมรอบเมื่อผ่านชั้นกำแพงเข้าไปด้านใน จะเห็นลักษณะสถาปัตยกรรมของวัดเป็นปรางค์สามยอดแบบศิลปขอม นั่นทำให้นักโบราณคดีสันนิษฐานกันว่า สถานที่แห่งนี้เคยเป็นเทวสถานที่บรรดาพราหณ์ใช้ทำพิธีโล้ชิงช้ามาก่อน ครั้นถึงสมัยสุโขทัยจึงได้ดัดแปลงกลายเป็นวัดทางพุทธศาสนา….
นี่ตอกย้ำลักษณะร่วมกันของประวัติศาสตร์โลก ไม่ว่าจะเป็นที่ไหน ๆ เมื่อกลุ่มชนต่างความเชื่อ ต่างศาสนาเข้ารุกราน ยึดครองอาณาจักร หรือดินแดนอื่น จะเปลี่ยนผ่านสถานที่ศักดิ์สิทธิ์เดิมให้กลายเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ตามความเชื่อของตน