คยองจู เมืองพิพิธภัณฑ์กลางแจ้ง
ในอดีต คยองจูเคยเจริญรุ่งเรืองเป็นเมืองหลวงของอาณาจักรโบราณชิลลาเกือบ 1,000 ปี ตั้งแต่ 57 ปีก่อนคริสต์ศักราช จนถึงคริสตศักราชที่ 935 เป็นเมืองประวัติศาสตร์เล็ก ๆ ในหุบเขาที่เต็มไปด้วยโบราณสถานที่ร้อยเรียงเชื่อมโยงกันด้วยสวนขนาดใหญ่ใจกลางตัวเมือง ที่ต้นไม้แต่ละต้น ขณะเดินย่ำผ่าน ล้วนใหญ่มหึมา เห็นแล้วชวนหลงไหล
พื้นที่โบราณสถานที่กลมกลืนไปกับตัวเมืองและสวนสาธารณะ ทำให้ตัวเมืองทั้งเมือง เป็นเสมือนพิพิธภัณฑ์กลางแจ้งที่ร่มรื่นด้วยตัวเอง….. นี่จึงเป็นเสน่ห์ของเมืองคยองจู ที่หากมาเที่ยวเกาหลีใต้แล้ว นอกจากเมืองหลวงอย่างกรุงโซลที่นี่นับเป็นอีกเมืองหนึ่งที่ไม่ควรพลาด
สถานที่ท่องเที่ยวสำคัญในคยองจูมีที่ไหนบ้าง
สุสานมูนดิน
ไม่มีสุสานที่ไหนในโลกแปลกตาเท่าสุสานมูนดินแห่งคยองจูอีกแล้ว สุสานที่นี่มีลักษณะคล้ายภูเขาหญ้าลูกเล็ก ๆ กระจัดกระจายให้เห็นทั่วไปในตัวเมือง สวนสุสาน Daereungwon กินพื้นที่กว้าง เป็นที่รวมสุสานของกษัตริย์ และขุนนางคนสำคัญ ด้านในมีสุสานมูนดินถึง 23 แห่ง และมีการขุดสำรวจพบสมบัติล้ำค่าจำนวนมากอยู่ข้างใน
หอดูดาวโบราณ
ลักษณะคล้ายสถูปเล็ก ๆ สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยอาณาจักรชิลลา ยุคราชินีซอนด็อกครองราชย์ เป็นหอดูดาวที่มีอายุเก่าแก่ที่สุดในเอเชียตะวันออก ใช้หินในการก่อสร้าง 365 ก้อน เท่ากับจำนวนวันใน 1 ปี ตรงกึ่งกลางของหอมีช่องหน้าต่าง ซึ่งหากนับหินจากฐานล่างสุดไปถึงขอบหน้าต่างด้านล่าง จะพบว่ามี 12 ชั้น และนับจากชั้นเหนือขอบหน้าต่างขึ้นไปถึงข้างบนสุด มี 12 ชั้นเช่นกัน… เป็นตัวเลขที่ทำให้คาดเดากันต่าง ๆ นา ๆ ว่า แทนจำนวนเดือนในหนึ่งปี หรือจะแทน 12 ราศี กันแน่
วัดพุลกุกซา (Bulguksa)
พุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำอาณาจักรชิลลา วัดพุลกุกซา (Bulguksa) สร้างขึ้นในยุคสมัยดังกล่วจึงมีอาณาบริเวณกว้างขวางประกอบด้วยวิหารใหญ่น้อยหลายหลัง ตั้งอยู่บริเวณเชิงเขา ห่างจากตัวเมืองคยองจูออกไปประมาณ 16 กิโลเมตร
ลักษณะของสถาปัตยกรรมวัดแห่งนี้ สะท้อนให้เห็นถึงอิทธิพลที่รับมาจากจีนอย่างเด่นชัด โดยเฉพาะลักษณะของแผนผังตัวอาคาร ที่แบ่งพื้นที่ออกเป็นลานสี่เหลี่ยมย่อย ๆ โดยมีระเบียงทางเดินและประตูทางเข้าเชื่อมต่อถึงกัน โดยในแต่ละลานจะมีวิหารอยู่หนึ่งหลังเป็นประธานของพิ้นที่
ภายในเขตวัด มีเจดีย์ย์ขนาดเล็กสององค์ ตั้งคู่กัน ได้แก่ เจดีย์ดาโบทับ (Dabotap) และเจดีย์ช็อกกาทับ (Seokgatap) เจดีย์ทั้งสององค์นี้ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นสมบัติประจำชาติ และได้รับการยกย่องว่าเป็นเจดีย์ที่งามที่สุดของอาณาจักรชิลลา
วัดช็อคกูรัม (Seokguram)
วัดช็อคกูรัมตั้งอยู่บนเขา Tohamsan อันเป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในพื้นที่ ภายในวัดมีการสร้างถ้ำจำลองและองค์พระพุทธรูปที่เป็นผลงานชิ้นเอกของอาณาจักรชิลลา
ตัวถ้ำจำลองนั้นสร้างขึ้นจากหินแกรนิตสีขาว ประกอบด้วยห้องคูหาชั้นนอกทรงสี่เหลี่ยม ทอดนำสู่ห้องชั้นในทรงกลม ที่ยกเพดานสูงเป็นทรงโดม และพื้นที่ตรงบริเวณนั้นเองเป็นที่ประดิษฐานพระศรีศากยมุนีขนาดใหญ่ที่สลักจากหินแกรนิตสีขาวทั้งองค์
ตัวจีวรขององค์พระพุทธรูปที่สลักจากหินแกรนิต มีลักษณะเป็นริ้วผ้าแบบธรรมชาติ ซึ่งเป็นลักษณะของพระพุทธรูปในยุคต้น ๆ ที่ช่างได้รับอิทธิพลจากกรีกและโรมัน และหากมองตรงผนังหินด้านหลังองค์พระพุทธรูป จะเห็นวงรัศมีทรงกลมอยู่ในตำแหน่งรองรับกับเศียรองค์พระพอดิบพอดี นี่เป็นอิทธิพลที่รับมาจากกรีกและโรมันอีกเช่นกันที่ช่างมักปั้นรูปเทพเจ้าต่าง ๆ โดยมีรัศมี halo อยู่ด้านหลัง
ลักษณะของรูปแกะสลักเทพเจ้าที่ปกปักศาสนสถาน และองคพระพุทธเจ้าบนฝาผนัง เป็นศิลปะแบบจีนอย่างเห็นได้ชัดเจน ขณะทีองค์พระพุทธรูปที่แกะสลักจากหินแกรนิต รับอิทธิพลจากศิลปแบบกรีกและโรมัน วัดช็อกกูร้มจึงเป็นวัดพุทธที่ผสานรูปแบบพุทธศิลป์ทั้งจากฝั่งตะวันตกและตะวันออกได้อย่างแปลกตา งดงามและลงตัว
พิพิธภัณฑ์ คยองจู
เป็นพิพิธภัณฑ์ประจำเมือง ที่แสดงศิลปะวัตถุจากยุคสมัยอาณาจักรชิลลา โดยเฉพาะสมบัติที่ขุดพบจากสุสานมูนดิน อัน เป็นธรรมเนียมที่คล้ายคลึงกันในหลายอารยธรรม ที่ในหลุมฝังศพของกษัตริย์มักจะฝั่งเครื่องราชกกุธภัณฑ์ ได้แก่ข้าวของเครื่องใช้ต่าง ๆ ลงไปด้วย
การเดินเที่ยวชมพิพิธภัณฑ์นั้น บางครั้งสิ่งของที่จัดวางแสดงมีจำนวนมากจนละลานตา ทำให้แยกชิ้นงานเด่น ๆ ออกจากชิ้นงานทั่วไปได้ยาก สำหรับที่นี่หากอยากรู้ว่างานแสดงชิ้นไหนมีความสำคัญเป็นพิเศษให้สังเกตที่ป้ายอธิบายด้านหน้า หากมีคำว่า “national treasure” ติดอยู่ นั่นหมายความว่าผลงานชิ้นนั้น เป็นผลงานชิ้นสำคัญของอาณาจักรชิลลา