ในปีที่ผ่านมา เราได้เห็นโฆษณาของธนาคารมาหลายชิ้น ซึ่งในยุคนี้ส่วนใหญ่ก็ได้ออกมาใน YouTube ซึ่งมีโฆษณาตัวนึงชื่อ “ลูกมหาเศรษฐี” ที่เป็นเรื่องของ พ่อที่มีฐานะแสนธรรมดา แต่บ้านอบอวลไปด้วยความสุข ความจริงคุณพ่ออาจฐานะไม่ดีนัก แต่พยายามจะให้ลูกๆ ได้มีความสุขเติมเต็มด้วยของที่ทำเอง เพื่อให้ลูกได้คิดก่อนที่จะได้ใช้เงินทุกบาททุกสตางค์ออกไป สุดท้ายคลิปนี้ เป็นคลิปโฆษณาที่มียอดวิวถึง 2 ล้านกว่า ใกล้ๆจะ 3 ล้านแล้ว และมี comment เชิงบวกอีกมากมาย ซึ่งทำให้คนได้ ReThink ตามชื่อแคมเปญ
เป็นแคมเปญที่ทุกคนในสังคมควรได้ดู โดยเฉพาะเยาวชนที่ยังมีโอกาสปลูกฝังภูมิคุ้มกันทางการเงิน ช่วยให้โตขึ้นมามีเงินใช้อย่างยั่งยืนไปจนวันสุดท้ายของชีวิตได้
ReThink คลิปเก่า “ลูกมหาเศรษฐี”
https://youtu.be/86GzMLuPh9I
ReThink นั้นไม่ได้มีจุดมุ่งหมายที่จะให้ความรู้ทางการเงิน เพราะมีหลายที่ให้ความรู้อยู่แล้ว แต่ยังไม่เข้าไม่ถึงคนส่วนใหญ่ เพราะพอได้ยินคำว่า “การเงิน” ก็ฟังดูน่าเบื่อและไม่สนุก แต่ ReThink ของธนชาต เน้นไปที่การให้คนได้ “ฉุกคิด” ง่ายๆ จากการเริ่มต้นทุกวัน
ซึ่งในวันนี้ เราได้อยู่กับคนที่เป็นคนสร้างสรรค์โครงการ ReThink นี้ คุณวิชา กุลกอบเกียรติ ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานสื่อสารและบริหารแบรนด์ ธนาคารธนชาต จำกัด (มหาชน) สวัสดีครับ…
1. ReThink มีจุดเริ่มต้นอย่างไร?
คุณวิชา: คือ สถาบันการเงินมีหน้าที่ส่วนหนึ่งคือต้องรับผิดชอบต่อสังคมต่อสังคมโดยตรงเลยก็คือเรื่อง “การเงิน” เราเองก็อยากให้คนได้ฉุกคิดก่อนการใช้เงิน การจะไปหาความรู้ทางด้านการเงินอื่นๆ สามารถหาได้หลายวิธี
แต่สิ่งที่เราทำคือ ทำอย่างไรให้คนที่ใช้จ่ายได้มีวินัยในการบริหารการเงินของตัวเอง และได้ผนวกกับการนำคำสอนปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ที่ทรงมอบให้กับประชาชนชาวไทย ReThink ก็เกิดจากแนวความคิดของการนำหลักการของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงนำมาประยุกต์กับการให้คนได้ฉุกคิดก่อนการใช้จ่าย
2. ReThink ผสมกับ
ปรัชญาพอเพียงได้อย่างไร?
เริ่มต้นเวลาเราจะใช้เงินเราจะต้องถามตัวเองว่ามันคือ “ความจำเป็น?” หรือแค่เพียง “ความอยาก?” เพราะหลายอย่างที่แค่เกิดจาก ความยาก แล้วสุดท้ายก็ไปกองรวมกันอยู่เต็มไปหมด ใช้ก็ไม่หมด เราลองมาตีค่าสิ่งเหล่านั้นเป็นเงินดูว่า มันเป็นเงินจำนวนเท่าไหร่ ที่เราสามารถประหยัดเงินได้
ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงไม่ได้สอนให้คนไม่ใช้จ่าย หากมีเงินเยอะ ก็ใช้เยอะ ไม่ใช่ต้องอยู่แบบไม่ใช้เงิน แต่ให้ใช้แบบไม่เกินตัว ใช้แบบมีเหตุผล ให้คิดว่าก่อนว่าคือ “ความจำเป็น?” หรือแค่เพียง “ความอยาก?” แต่หากเป็นเรื่องของความอยากที่ตอบโจทย์ในเรื่องรางวัลชีวิตบ้างนั้นก็ไม่เป็นไร แต่หากเป็นรางวัลชีวิตทุกวันก็คงจะไม่ไหว เราจะต้องมีลิมิต เพื่อนำไปสู่การสร้างภูมิคุ้มกัน หากเราใช้จ่ายน้อยลง หารายได้เพิ่มขึ้น ในที่สุดแล้วเราก็จะมีเงินออมสะสมไว้ในอนาคต
Rethink ก็เกิดจากการจุดประกายให้คนมีวินัยทางการเงิน ไม่ใช่การให้ความรู้ เพราะเชื่อว่าทุกคนมีความรู้ในเชิงการเงินเยอะอยู่แล้ว เพียงแต่อยากจุดประกายให้คนได้ฉุกคิดก่อนการใช้จ่าย ว่าเรานั้นใช้เงินเกินตัวมั้ย มีเหตุผลมั้ย มีการวางแผนการเงินที่ดีพอที่จะสร้างภูมิคุ้มกันในอนาคตแล้วหรือยัง?
3. แต่ยุคออนไลน์ การซื้อของง่ายขึ้น
คนยิ่งใช้เงินโดยไม่จำเป็นง่ายขึ้นไหม?
ในเชิงตัวเลขคงไม่สามารถบอกได้ชัดว่ามียอดใช้จ่ายเพิ่มมากน้อยแค่ไหน แต่ตามหลักความเป็นจริง ความสะดวกย่อมทำให้ใช้จ่ายได้ง่ายขึ้น เยอะขึ้น ถ้าไม่มีวินัยทางการเงิน
ReThink จึงต้องให้คนตระหนักมากขึ้นในภาวะที่การใช้จ่ายสะดวกขึ้นแบบนี้ ก็ต้องใช้สติมากขึ้นหน่อย หลายประเทศแทบจะเป็น cashless มากกว่าการใช้ธนบัตรแล้ว แต่ในประเทศไทย ณ วันนี้ อาจเป็นคนบางกลุ่มที่ใช้จ่ายออนไลน์ ถ้าเทียบกับประชากรของเรา
เหมือนสมัยก่อนที่มีการใช้บัตรเอทีเอ็มในช่วงแรก คนก็ยังมีความรู้สึกไม่ค่อยมั่นใจ แต่ไม่นานเอทีเอ็มก็เป็นเหมือนชีวิตประจำวัน เพราะฉะนั้นอนาคตการทำธุรกรรมออนไลน์ที่สะดวก สามารถทำที่ไหน เวลาไหนก็ได้ จึงหนีไม่พ้นที่คนจะใช้จ่ายมากขึ้น ส่วนสิ่งที่เราต้องใส่เข้าไปก็คือ วินัยทางการเงิน
แต่ยังดีที่การใช้จ่ายทางออนไลน์ไม่ได้เป็นการใช้เงินทางอนาคต เป็นการใช้เงินที่เรา แต่หากใช้เพลินก็จะไม่มีเงินออม แต่ไม่ได้เป็นการสร้างหนี้ เหมือนกับการใช้ Credit Card ที่เป็นการสร้างหนี้ใหม่ ทำให้เป็นหนี้ในอนาคตด้วย
4. ธนชาตมีผลิตภัณฑ์ทั้งเงินกู้และบัตรเครดิต หากทำให้คนฉุกคิด จะขัดต่อการทำธุรกิจหรือไม่?
ก็เป็นคำถามที่ทุกคนคิดกันนะครับ แต่เราไม่ได้บอกว่าให้คนหยุดการใช้จ่าย ถ้ามันจำเป็นต้องใช้ก็ใช้ไป แต่เรากลับคิดว่ามันคือข้อดี ถ้าคนมีวินัยทางการเงินในการใช้จ่ายแต่ครั้ง มีการฉุกคิดและตระหนักถึงความจำเป็น ความสามารถในการหารายได้ที่จะครอบคลุมค่าใช้จ่ายในอนาคตและมีเงินเก็บออม
ถ้าคนมีวินัยทางการเงินมากขึ้น สถาบันทางการเงินจะดีขึ้นด้วย หนี้เสียก็จะน้อยลง เราช่วยสังคมไม่ให้หนี้สาธารณะเกิดขึ้นเยอะ หนี้สาธารณะเหมือนระเบิดเวลาของประเทศ ถ้าคนใช้จ่ายฟุ่มเฟือยและไม่ก่อให้เกิดรายได้ ทำให้หนี้สาธารณะงอกเงยและเป็นภาระของสังคม
ธนาคารเองก็จะได้ผลดี ส่วนหนึ่งของผลประกอบการของธนาคารเองก็คือ หนี้เสียต้องน้อย และที่อยากย้ำคือ ทุกคนต้องมีเงินออม ต้องออมก่อนค่อยใช้ อย่าใช้แล้วค่อยเหลือออม เพราะว่ามันจะไม่เหลือให้ออม มันอาจจะมีผลต่อรายรับบ้าง แต่จะช่วยในเรื่องของหนี้เสียของธนาคาร และเชื่อว่าการเกิดของประชาชนในอนาคตจะช่วยทดแทนได้
5. ผลตอบรับของ ReThink
เวิร์คไหม?
Feedback ก็ดีทั้งทางทีวีและออนไลน์ ที่ผ่านมาได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี อาจจะบอกได้ว่าดีกว่าตอนที่เราคาดไว้ด้วยซ้ำไป
ล่าสุดเราก็ได้รับรางวัลสื่อโฆษณาประชาสัมพันธ์ส่งเสริมคุณธรรมจากภาพยนตร์โฆษณาสร้างสรรค์สังคม โครงการ ธนชาต ReThink เรื่อง ลูกมหาเศรษฐี (หรือปลาทู) โดยได้รับโล่ประกาศเกียรติคุณของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จัดโดยกรมศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม ที่จัดร่วมกับมหาวิยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา ก็ขอบคุณที่เห็นว่าเรามีคุณภาพพอที่จะช่วยสังคมในเรื่องของการให้ความรู้ทางการเงิน ให้คนเกิดการฉุกคิดในการบริหารทางการเงิน
6. ReThink มีการปรับแผน
ให้เข้ากับยุค 4.0 อย่างไรบ้าง?
ยุค 4.0 ทุกคนอยู่กับ social media อยู่แล้วในชีวิตประจำวัน ตรงนี้ก็เป็นถือว่าเป็นเครื่องมือที่พร้อมแล้ว แต่จะทำอย่างไรให้เนื้อหาเข้าไปสะกิดในหัวใจคน เราก็พยายามที่จะทำคอนเทนท์ให้ประชาชนทั่วไปเข้าใจได้ง่าย ไม่ว่าจะเป็นการ tie-in ไปกับรายการต่างๆ การถามความคิดเห็นต่างๆจากเซเลปที่เป็นบุคคลที่เวลาพูดอะไรไปก็จะมีคนฟังเยอะ ถึงตอนนี้เราก็มาทำเป็น e-book เรื่อง ReThink คิดใหม่ ใช้เงินเป็น เห็นความสุข ในนั้นก็จะเป็นคอนเทนท์ง่ายๆ ที่ให้คนเข้าใจง่ายๆ ในรูปแบบการ์ตูน
เราทำทั้งคอนเทนท์บน social media และทำเป็นหนังสือด้วยเพื่อเอาไว้แจกตามโรงเรียนให้เด็กได้อ่านได้ดู เพราะเด็กจะได้ถูกปลูกฝังตั้งแต่เด็กว่า ต้องรู้เรื่องการเงิน การใช้จ่ายเงิน และต้องถูกปลูกฝังไปเรื่อยๆ เราเชื่อว่าอนาคตเขาก็จะปลอดภัยจากปัจจัยที่รุมเร้าในเรื่องการกระตุ้นให้เกิดความอยาก มากเกินความจำเป็น
7. อะไรคือสิ่งสำคัญ
ด้านการเงินที่ควรรู้ทุกคน
ทุกวันนี้ความรู้ทางด้านการเงินหาได้เยอะ แต่เรื่องการตระหนักรู้ถึงความเสี่ยงในอนาคตเป็นสิ่งที่เราจะต้องถึงสังวรณ์ว่ามันมีหลายอย่าง เด็กรุ่นใหม่อาจจะยังไม่เคยผ่านวิกฤตทางเศรษฐกิจ แต่ในยุคผมเคยผ่านมาหลายเรื่อง ทั้งยุคเฟื่องฟู ตกอับ จนสู่ยุคที่เริ่มฟื้นตัว ก็เข้าใจว่าเด็กรุ่นใหม่อาจจะยังไม่รู้ถึงความปวดร้าว ลำบาก ยากเย็น ขนาดนั้น
คนที่ไม่มีเงินออมวัน แล้ววันหนึ่งรายได้ขาดไป แต่ยังมีครอบครัวที่ต้องดูแล และอะไรอีกหลายๆ อย่างหลายอย่างที่เคยซื้อไว้วันนึงมันอาจจะไม่มีค่าเพียงพอในขณะนั้นที่จะนำมาประทังชีวิต โชคร้ายหากจะต้องเจ็บป่วยในตอนนั้นมันก็จะยิ่งลำบาก จึงอยากให้ทุกคนตระหนักถึงการบริหารความเสี่ยงในชีวิต
ให้เข้าใจว่าความแน่นอนของชีวิตคือความไม่แน่นอน เราไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นในอนาคต ณ ตอนนั้น เราควรรู้จักบริหารเงินและออมเงินไว้เพื่อป้องกันความเสี่ยง
การเก็บออมเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องทำให้เป็นชีวิตประจำวัน ว่าในแต่ละเดือน แต่ละปี เราจะมีเงินเก็บเท่าไหร่ ในอีก 5 ปี 10 ปี อนาคตข้างหน้าเราจะมีเงินเก็บเท่าไหร่
ทุกวันนี้ค่าใช้จ่ายและค่าครองชีพมีราคาสูง ผมขอยกตัวอย่างในเรื่องของค่ารักษาพยาบาล ทุกคนต้องเจ็บไข้ได้ป่วยและเราก็จะมีค่าใช้จ่ายเป็นค่ารักษาพยาบาลเป็นจำนวนมาก และตัวเราเองพอถึงวันนั้นจะเป็นภาระของคนอื่น หรือจะรู้จักเก็บออมไว้ด้วยตัวเราเอง เพื่อให้ไม่ต้องเป็นภาระของคนอื่น
8. คุณวิชามีอะไรจะฝาก
ถึงคนในยุคออนไลน์
อยากจะฝากว่า การบริหารความเสี่ยงที่สำคัญที่สุดของชีวิต คือการบริหารการเงินและการที่จะต้องมีเงินเก็บออม ให้เงินมีการเติบโตอย่างน้อยต้องไม่ต่ำกว่าเงินเฟ้อ เพราะว่าค่าใช้จ่ายเดี๋ยวนี้มันสูงกว่าเงินเฟ้อเยอะ ถ้าหากเราไม่ตระหนักในเรื่องนี้เราก็จะเกิดความทุกข์ เราอาจจะสุขเพียงแค่ในช่วงเวลาหนึ่ง แต่เราอาจจะต้องทุกข์ในอนาคต เราจึงต้องระมัดระวัง ไม่ว่าเราจะเป็นผู้นำหรือเป็นเพียงผู้ที่อยู่ในครอบครัวก็ตาม ทุกคนต้องมีส่วนร่วมและช่วยกันประหยัด เพราะฉะนั้นรายได้ครัวเรือนหรือว่าเงินออมของครัวเรือนจึงเป็นเรื่องสำคัญ และควรหาความรู้ทางด้านการเงิน ว่าจะต้องมีการลงทุนอย่างไร จึงจะเกิดการงอกเงย และความปลอดภัยของเม็ดเงินที่เราสะสม
ขอฝากไว้ว่าเป็นห่วงจริงๆ ในเรื่องของค่าใช้จ่ายในอนาคตเพราะว่าทุกอย่างมันสูงมากไม่ว่าจะเป็นค่าครองชีพ ค่ารักษาพยาบาล หรือว่าค่าเล่าเรียนของลูกหลานที่จะเกิดขึ้นในอนาคตมันสูงมากทีเดียว ถ้าเราไม่รู้จักออมเงิน ใช้จ่ายเงินเพื่อหาความสุขไปวันๆ ตามสิ่งที่รุมเร้าเข้ามา ถ้าหากเราไม่ระวังเงินเราก็จะหมดและสุดท้ายเราก็จะต้องประสบกับความทุกข์ในชีวิต
ผมก็อยากให้ทุกคนเข้ามาสู่ธีมของเราคือการคิดใหม่ ใช้เงินให้เป็น เห็นความสุข ความสุขเป็นสิ่งที่หาซื้อไม่ได้ต้องทำเองครับ ขอบคุณครับ
ทั้งหมดนี้ ก็เป็นจุดเริ่มต้นของความคิดดี ที่เราคงปฏิเสทไม่ได้ว่า อย่างน้อยก็มีประโยชน์กับสังคมจริงๆ นะครับ ส่วนการจุดประกายจะขยายตัวสู่สังคมเพิ่มอีกมากน้อยแค่ไหน
เราคงไม่อาจคาดการณ์ได้ แต่ถ้าเกิดว่าคุณได้เห็นคลิป “ReThink” ของธนชาต ตัวใหม่ รวมถึงตัว E-Book ให้ความรู้ด้านการเงินแบบการ์ตูน ดูง่ายๆ สนุกและได้ความรู้ ถ้าดูแล้วเกิดชื่นชอบละก็ อย่าลืม กด Share ให้เพื่อนๆ บน Social Media ได้ดูกัน
สามารถรับชมในรูปแบบ E-Book ฟรีได้ที่นี่
[button color=”red” size=”big” alignment=”center” rel=”nofollow” openin=”newwindow” url=”http://www.thanachartcsr.com/ReThink_Ebook/ “]คลิกดู E-Book[/button]