ไม่มาก ไม่น้อย กลมกลืนกับสภาพแวดล้อมอย่างงดงาม
นั่นคือความรู้สึกของฉันที่มีต่อหอศิลป์ริมน่าน หอศิลป์เอกชนบนพื้นที่ 13ไร่ ริมทางถนนเมืองน่าน
ถ้าหากวัดจากปริมาณผู้คนแล้ว น่านมีจำนวนประชากรประมาณสี่แสนปลาย ๆ ไม่ใช่เมืองเศรษฐกิจ ที่มีประชากรหนาแน่น จึงนับเป็นเรื่องพิเศษที่มีหอศิลป์แสดงงานศิลปะร่วมสมัยขนาดใหญ่และที่สำคัญเป็นของเอกชนอีกด้วย
‘ไม่มีใครขอให้ทำหอศิลป์ กระทรวงวัฒนธรรมไม่ได้ขอร้อง จังหวัดไม่ได้ขอร้อง เพื่อนฝูงไม่ได้ขอร้อง’ นั่นเป็นคำให้สัมภาษณ์ของ วินัย ปราบริปู ศิลปินชาวน่าน ผู้ก่อตั้งหอศิลป์ริมน่านที่ฉันอ่านเจอจากหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่ง เหตุผลที่เขาสร้างสถานที่นี้ขึ้นมาตั้งใจให้เด็ก ๆ และคนในพื้นที่ได้มีโอกาสสัมผัส และเรียนรู้งานศิลปะต่าง ๆ จากศิลปินระดับชาติ และระดับท้องถิ่นทัดเทียมกับคนในกรุงเทพ รวมทั้งผู้คนที่ได้มาเยือนเมืองน่านจะได้สัมผัสงานเหล่านั้น เชื่อมโยงกับงานศิลปะท้องถิ่นที่มีรากเหง้าเข้มแข็ง และธรรมชาติที่งดงามของเมืองน่าน
หลังจากได้เข้าไปชมงานที่จัดแสดงภายใน และเดินชมบรรยกาศโดยรอบ หอศิลป์แห่งนี้ตอบโจทย์ตามที่ศิลปินผู้ก่อตั้งได้ตั้งใจไว้อย่างครบถ้วน
อาคารแสดงงานที่ออกแบบโปร่งโล่ง อากาศถ่ายเทสะดวก รวมทั้งช่องแสงที่สบายตา ช่วยให้การเดินชมงานศิลปะที่นำมาแสดงเป็นไปอย่างเพลิดเพลิน ผู้ที่เข้ามาเยือนนั้นปะปนทั้งผู้ที่สนใจเนื้องานที่แท้จริง และที่เป็นนักท่องเที่ยวที่ผ่านมาเพื่อให้ได้เห็นและผ่านไป… แต่ไม่ว่าจะเป็นประเภทไหน ฉันสังเกตเห็นทุกคน ล้วนให้เกียรติและเคารพสถานที่ อาจเป็นเพราะแวดล้อมของภูมิทัศน์ที่สงบงาม ทำให้ไม่มีใครอยากทำลายสุนทรียภาพที่เป็นอยู่นั้น
ด้านบนของอาคารหอศิลป์ ผลงานที่สะดุดตาเห็นจะเป็นภาพล้อเลียนภาพกระซิบรักบรรลือโลกอันเป็น ภาพจิตรกรรมฝาผนังการหยอกล้อของชายหนุ่มหญิงสาวชาวพม่าภายในอุโบสถวัดภูมินทร์ ที่ได้กลายเป็นภาพสัญลักษณ์ของจังหวัดน่าน ศิลปินผู้ก่อตั้งได้วาดภาพล้อเลียนภาพดังกล่าวเป็นภาพฝรั่งมาเที่ยวกระซิบรักเป็นการสร้างสรรค์งานสมัยใหม่เชื่อมโยงกับงานศิลปะท้องถิ่นดั้งเดิม
จากกระซิบรักถึงตะโกน
และที่สนุกคือพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ที่ได้เสด็จพระราชดำเนินจังหวัดน่านเมื่อปีพ.ศ. 2554 ได้วาดภาพกระซิบรักพระราชทานให้กับเรือนจำชั่วคราว เขาน้อย และเมื่อได้เสด็จมายังหอศิลป์ริมน่านทอดพระเนตรภาพวาดล้อเลียนกระซิบรักบรรลือโลกเป็นภาพฝรั่งกระซิบรักกัน ด้วยพระอารมณ์ขันจึงวาดภาพ ตะโกน ล้อเลียน โดยในภาพผู้ชายไว้ผมทรงโมฮอร์กทำท่าตะโกน โดยมีผู้หญิงใส่ผ้าถุงทำท่าเอามือป้องหูรับฟัง และทรงเขียนคำว่า “ตะโกน” ไว้ในรูปภาพ โดยทรงอธิบายว่า “ต้องตะโกนกัน เพราะกระซิบไม่ได้ยินแล้ว อายุมากกันแล้ว”
แรกนั้นภาพกระซิบรักที่ทรงวาดได้แขวนแสดงที่เรือนจำชั่วคราว แต่ต่อมาทางเรือนจำได้ยกให้หอศิลป์ริมน่าน เพื่อที่ประชาชนจะได้เห็นทั้งภาพตะโกน และภาพกระซิบรักเคียงคู่กัน
เฮือนเพื่อเชิดชูเกียรติหนานบัวผัน
นอกจากอาคารหอศิลป์แล้ว ยังมี “เฮือนหนานบัวผัน” สร้างขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่ “หนานบัวผัน” ศิลปินผู้เขียนภาพจิตรกรรมฝาผนังวัดภูมินทร์ (แน่นอนว่าเป็นผู้วาดภาพกระซิบรักบรรลือโลก) วัดหนองบัว โดยภาพในเรือนแสดงเป็นภาพถ่ายจากจิตรกรรมฝาผนังจากวัดภูมินทร์ วัดหนองบัว รวมถึงจิตรกรรมฝาผนังที่สำคัญอื่นในเมืองน่าน จัดแสดงอย่างถาวร เพื่อเป็นสถานที่ตามรอยจิตรกรรมเมืองน่านที่สมบูรณ์
ภายในบริเวณหอศิลป์ยังมีร้านกาแฟตรงเฮือนศรีนวล และเฮือนยอดหล้า ให้ผู้มาเยือนได้นั่งชมทิวทัศน์รอบนอก และหากอยากสนับสนุนทางหอศิลป์ที่เก็บค่าเข้าชมเพียงคนละ 20 บาท สามารถเลือกซื้อสินค้าเชิงศิลป์ หนังสือที่เกี่ยวข้องกับงานจิตรกรรมฝาผนังเมืองน่าน และของที่ระลึกกระจุกกระจิก ติดไม้ติดมือเป็นของฝากได้
อ้างอิง : พนิดา สงวนเสรีวานิช . ‘กระซิบรัก’ ถึง ‘ตะโกน’ พระอารมณ์ขัน สมเด็จพระเทพรัตนฯ. มติชน.
“ไม่มีใครขอร้องให้ผมทำหอศิลป์” วินัย ปราบริปู ผู้ก่อตั้ง “หอศิลป์ริมน่าน”. ผู้จัดการ.