ใครที่มาเยือนเมืองน่านล้วนอยากมีโอกาสได้เห็นภาพจิตรกรรมฝาผนังกระซิบรักบันลือโลกภายในอุโบสถ-วิหารวัดภูมินทร์กันทั้งนั้น เพราะภาพดังกล่าวได้กลายเป็นสมือนสัญลักษณ์ของจังหวัดน่านไปกลาย ๆ
สมเด็จพระเทพรัตนฯ สยามบรมราชกุมารี เมื่อคราวเสด็จพระราชดำเนินจังหวัดน่านเมื่อปีพ.ศ. 2554 ได้วาดภาพเลียนแบบ “ภาพกระซิบรักบันลือโลก” พระราชทานให้กับเรือนจำชั่วคราว เขาน้อย และเมื่อได้เสด็จไปยังหอศิลป์ริมน่านทอดพระเนตรภาพวาดล้อเลียนกระซิบรักบันลือโลก ของ วินัย ปราบปูริ ศิลปินผู้ก่อตั้งหอศิลป์ริมน่าน ที่วาดภาพฝรั่งมาเที่ยวทำท่ากระซิบรักกัน ด้วยพระอารมณ์ขันจึงวาดภาพ “ตะโกน” เพื่อล้อเลียน ในภาพวาด “ตะโกน” นั้นผู้ชายไว้ผมทรงโมฮอร์กทำท่าตะโกน ส่วนผู้หญิงใส่ผ้าถุงเอามือป้องหูรับฟัง และทรงเขียนคำว่า “ตะโกน” ไว้ในรูปภาพ ซึ่งปัจจุบัน ทั้งภาพวาดเลียนแบบ และล้อเลียนของสมเด็จพระเทพรัตนฯ สยามบรมราชกุมารี ได้วางแสดงที่หอศิลป์ริมน่าน
ภาพกระซิบรักบันลือโลก มีขนาดใหญ่เกือบเท่าคนจริง ปรากฏบนผนังอุโบสถ-วิหารวัดภูมินท์อันเป็นวัดหลวงในเขตกำแพงเมืองน่าน
เมื่ออยากเห็น…. สถานที่แรกในเมืองน่านที่พวกเนสมุ่งตรงไปเยือนจึงเป็นวัดภูมินทร์
จิตรกรรมฝาผนังที่วัดภูมินทร์
วัดภูมินทร์เป็นวัดหลวงขนาดเล็ก ตั้งอยู่ใจกลางเมือง สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในปี พ.ศ. ๒๑๓๙ และได้ทำการบูรณะครั้งใหญ่ในสมัยเจ้าอนันตรวรฤทธิเดช ระหว่างพ.ศ. ๒๔๑๐ – ๒๔๑๗เทียบเคียงง่าย ๆ ราวปลายสมัยรัชกาลที่ ๔ ลักษณะเด่นแปลกของวัดแห่งนี้ อยู่ที่ตัวอุโบสถและวิหารของวัดที่อยู่ร่วมอาคารทรงจัตุรมุขเดียวกัน มีประตูประจำมุขและบันไดรองรับทางเข้าออกตามทิศทั้งสี่
เมื่อยืนมองอุโบสถ-วิหารจากด้านนอกทางทิศตะวันออกหรือจะทิศตะวันตก จะเห็นตัวนาคพาดตัวตามแนวบันไดจากทางทิศเหนือไปยังทิศใต้อย่างเด่นชัด หัวนาคนั้นอยู่ทางทิศเหนือ หางนาคทอดยาวเป็นบันไดลงไปทางทิศใต้ จึงเหมือนกับว่านาคนั้นได้พาดตัวรองรับตัวอุโบสถ-วิหารไว้ ดูแปลกตา ทว่าลงตัว และงดงาม ทีเดียว
เอาล่ะ…
เราตั้งใจมายลภาพจิตรกรรมฝาผนังกันนี่นา เมื่อเป็นอย่างนั้นพวกเราจึงพากันถอดรองเท้าย่างก้าวเข้าไปด้านใน
ภายในอุโบสถ-วิหาร เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปขนาดใหญ่ปางมารวิชัย ๔ องค์ บนฐานซุกชีหันพระพักตร์ออกด้านประตูทั้งสี่ทิศ และมีภาพจิตรกรรมฝาผนังเล่าเรื่องราวชาดก ตำนานพื้นบาน และวิถีชีวิตของชาวเมืองน่านในอดีต
ภาพจิตรกรรมฝาผนังทั้งหมดเป็นศิลปะแบบชาวไทลื้อ ซึ่งเป็นชนกลุ่มน้อยที่อพยพ มาจากดินแดนสิบสองปันนา หลวงพระบาง และล้านช้างนั่นทำให้ภาพวาดดูแปลกตา สังเกตดูใบหน้าผู้คน ลักษณะกลมแป้น คิ้วโค้ง นัยน์ตากรุ้มกริ่ม มองดูแล้ว มีชีวิตชีวา
หากไล่เรียงดูประวัติการสร้างวัดภูมินทร์ในพงศาวดารเมืองน่านแล้ว ไม่มีข้อมูลระบุบ่งชัดว่า ช่างเขียนผู้วาดภาพจิตรกรรมฝาผนังคือใคร แถมยังเป็นการวาดภายหลังจากที่ได้มีการปฏิสังขรณ์ตัววัดครั้งใหญ่อีกด้วย จึงได้แต่คาดเดากันจากลักษณะภาพวาดว่าน่าจะเป็นผลงานของช่างเขียน หรือสล่าชาวไทลื้อ ซึ่งเข้าเค้าทีเดียว เพราะตามประวัติศาสตร์แล้ว เจ้าผู้ปกครองเมืองน่านมักทำสงครามกับเมืองเชียงใหม่ อยู่เนือง ๆ ผลัดกันแพ้ ผลัดกันชนะ เมื่อแพ้ทีใดก็จะหลบหนีไปยังล้านช้าง รวบรวมสรรพกำลังพลกลับเข้ามาตีเอาเมืองน่านกลับคืน เพราะวิถีเป็นบบนี้จึงมีชาวไทลื้อจากเมืองล้านช้างติดกองทัพกลับมาด้วย จนกลายเป็นชนกลุ่มน้อยที่อาศัยอยู่ในเขตเมืองน่าน
ภาพวาดภายในอุโบสถ-วิหาร เล่าเรื่องราวจาก “คัทธณะกุมารชาดก” เป็นหลักประสมกับ ตำนานพื้นบ้าน และความเป็นอยู่ของชาวน่านในอดีต และแน่นอนภาพที่โดดเด่นที่สุด คือภาพกระซิบรักบันลือโลกที่มีขนาดใหญ่เกือบเท่าคนจริง
ภาพวาดดังกล่าวเป็นภาพชายหนุ่ม หญิงสาวในชุดแต่งกายแบบพม่า ยืนกระซิบกระซาบ หยอกล้อ ส่งสายตากรุ้มกริ่มให้กัน โดยมีอักษรล้านนาโบราณเขียนกำกับไว้ด้านบน ถอดความได้ว่า “ ปู่ม่าน ญ่าม่าน”
คำว่า “ม่าน” ภาษาถิ่นล้านนาหมายถึงพม่า ขณะที่ “ปู่” และ “ญ่า”ใช้เป็นสรรพนามเรียกผู้ชายและผู้หญิง คำว่า “ปู่ม่านญ่าม่าน” จึงเชื่อว่าน่าจะหมายถึง “หนุ่มพม่า สาวพม่า”
กริยา ท่าทาง และนัยน์ตาที่กรุ้มกริ่มนี่แหละ… ให้อารมณ์ดีนักเชียว เมื่อยืนอยู่เบื้องหน้าภาพจิตรกรรมดังกล่าวจึงไม่แปลกใจเลยว่าทำไมภาพวาดนี้จึงโด่งดังนัก และนั่นทำให้ใคร ๆ ใคร่อยากรู้ว่า ศิลปินที่วาดภาพนี้คือใครกันแน่ ข้อสันนิษฐานที่ดูจะน่าเชื่อถือและมีน้ำหนักมากที่สุดมาจากการสันนิษฐานของ “วินัย ปราบริปู” ศิลปินชาวน่านที่ได้ทำการเทียบเคียงภาพวาดในวัดภูมินทร์กับวัดหนองบัวที่เป็นวัดประจำหมู่บ้านหนองบัว อำเภอท่าวังผา แล้วพบว่าภาพวาดได้วาดขึ้นในช่วงระยะเวลาที่ใกล้เคียงกัน ทั้งโครงสร้างสีที่ใช้มีความคล้ายคลึงกันอีก มีการใช้สีแดง น้ำเงิน และเหลือง เป็นหลัก ทั้งใบหน้า และฉากในภาพวาดยังเหมือนกันอีกด้วยเมื่อเป็นเช่นนั้น จึงสันนิษฐานว่าน่าจะเป็นฝีมือของศิลปินชาวไทลื้อคนเดียวกัน นั่นคือหนานบัวผัน
หากเดินดูภาพวาดทั้งหมดภายในอุโบสถ-วิหาร จะสังเกตเห็นว่า ภาพวาดของหนานบัวผันนั้นมีลักษณะเฉพาะตัวที่โดดเด่นจริง ๆ ตัวละครบนภาพวาดแสดงอารมณ์ความรู้สึกชัดเจน ผ่านใบหน้าที่กลมแป้น คิ้วเป็นรูปวงพระจันทร์ นันย์ตากรุ้มกริ่ม เวลาดีใจมุมปากที่เป็นรูปกระจับจะเชิดขึ้นทั้งสองข้าง และหุบลงเมื่อเศร้าเสียใจ
ทว่าภาพวาดบนผนังในอุโบสถ-วิหารวัดภูมินทร์ ไม่ได้เป็นฝีมือของหนานบัวผันเพียงลำพัง ผนังด้านทิศใต้และตะวันตกบางส่วนเป็นฝีมือของช่างเขียนนิรนามคนอื่น เพราะมีฝีมือและทักษะที่อ่อนด้อยกว่าอย่างเห็นได้ชัด
และ…. เมื่อไหน ๆ ตั้งใจจะเที่ยวชมดูภาพจิตกรรมฝาผนังเมืองน่านแล้ว จะให้ครบถ้วน ต้องไปยลที่วัดหนองบัวต่อ
จิตรกรรมฝาผนังที่วัดหนองบัว
วัดหนองบัว ตั้งอยู่หมู่บ้านหนองบัว อำเภอท่าวังผา เป็นหมู่บ้านที่มีชุมชนชาวไทลื้ออาศัยเอยู่ป็นจำนวนมาก อยู่ถัดห่างจากอำเภอเมืองน่านไปราว 45 กิโลเมตร
เราไปเยือนวัดหนองบัวแต่รุ่งเช้า…. ทันทีที่ก้าวเข้าไปในเขตวัด ไม้ใหญ่เขียวครึ้มให้ความร่มรื่น ประสมกับ เสียงดนตรีพื้นเมืองที่บรรเลงโดยเหล่าคุณลุงในพื้นที่ที่จิตอาสามาล้อมวงเล่นด้วยกัน เพื่อต้อนรับผู้มาเยือน
เปิดบรรยากาศมาแบบนี้… ทำเอาเทใจให้กับความสงบร่มรื่น เรียบง่ายที่ปราศจากความเป็นพุทธพาณิชย์ไปสิบเต็มสิบเลยทีเดียว
วิหารวัดหนองบัวที่เห็นเบื้องหน้า ลักษณะหลังคาทรงจั่วเป็นชั้นลดหลั่น ตามแบบสถาปัตยกรรมแบบไทลื้อ บริเวณหน้าจั่วมีการใช้กระจกสีประดับประดาเป็นลวดลาย
เมื่อก้าวเข้าไปด้านใน ภาพจิตรกรรมฝาผนังที่ปรากฏ ใช้โครงสี และมีลักษณะการวาดที่คล้ายคลึงกับที่วัดภูมินทร์
ตามประวัติการสร้างวัด ไม่มีการระบุเช่นกันว่าใครเป็นผู้วาดภาพจิตรกรรมเหล่านี้แต่มีการเก็บรักษาภาพร่างด้วยหมึกในกระดาษสาพับ ที่ช่างเขียนจะใช้ร่างภาพก่อนวาดจริง ภาพร่างนั้นระบุว่าเป็นของ “หนานบัวผัน” เมื่อตรวจสอบพบว่าภาพร่างในนั้น ได้ปรากฏบนผนังที่วัดหนองบัว และวัดภูมินทร์ จึงเป็นหลักฐานที่ทำให้เชื่อว่า ช่างเขียนภาพจิตรกรรมฝาผนังที่วัดภูมินทร์และวัดหนองบัว เป็นฝีมือช่างเขียนคนเดียวกัน นั่นคือ “หนานบัวผัน”
คุณลุงท่านที่ได้เข้ามาต้อนรับเราตั้งแต่แรก ได้อธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับภาพวาดในวิหาร เรื่องราวที่ร้อยเรียงบนผนัง ถอดเค้าโครงมาจากเรื่องจันทคาธชาดกอันเป็นชาดกที่ชาวล้านนา และล้านช้าง ใช้สอนเรื่องการเสียสละเพื่อประโยชน์ส่วนรวม การเป็นผู้มีกตัญญูรู้คุณคน ความซื่อสัตย์และความเมตตากรุณาและวัดแห่งนี้เป็นที่เดียวที่เขียนภาพจากชาดกเรื่องดังกล่าว
ขณะเดินชมดู นึกเสียดายที่คราวน้ำท่วมใหญ่เมื่อปี 2554 น้ำได้ไหลเข้าท่วมตัววิหาร ทำให้ภาพจิตรกรรมฝาผนังด้านล่าง ได้รับความเสียหายไปไม่น้อย
แม้เสียดาย แต่เห็นใบหน้าของคุณลุงที่เข้ามาให้ข้อมูลเกี่ยวกับตัววัด รวมถึง บรรดาเหล่าคุณลุงทั้งหลายที่นั่งเล่นดนตรีกันด้านนอกแล้ว เชื่อมั่นว่า แม้นภัยธรรมชาติจะก่อให้เกิดความเสียหายไปบ้าง แต่วัดแห่งนี้ จะได้รับการดูแลรักษา จากผู้คนในท้องถิ่น ให้เป็นมรดกสืบทอดต่อไปถึงรุ่นลูก รุ่นหลานได้เป็นอย่างดี
เฮือนหนองบัวผัน เรือนแสดงภาพถ่ายจิตรกรรมฝาผนังในเมืองน่าน
สุดท้ายหลังจากได้เยี่ยมชมจิตรกรรมฝาผนังทั้งที่วัดภูมินทร์ และวัดหนองบัว การตามรอยจิตรกรรมเมืองน่านจะสมบูรณ์ยิ่งขึ้นหากได้ไปเยี่ยมชมหอศิลป์ริมน่าน หอศิลป์เอกชน ที่ก่อตั้งโดย วินัย ปราบริปูบนพื้นที่ 13ไร่ ริมทางถนนสู่เมืองน่าน
ที่หอศิลป์ฯ นอกจากจะได้ชมภาพวาดเลียนแบบ และล้อเลียนภาพกระซิบรักบันลือโลก ผลงานของสมเด็จพระเทพรัตนฯ สยามบรมราชกุมารีและวินัย ปราบริปู แล้วภาพในเขตหอศิลป์ฯ ยังมีอาคาร “เฮือนหนานบัวผัน” ที่วินัย ปราบริปูสร้างขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่ “หนานบัวผัน” ศิลปินผู้เขียนภาพจิตรกรรมฝาผนังวัดภูมินทร์ และ วัดหนองบัว โดยภาพในเรือนแสดงเป็นภาพถ่ายจากจิตรกรรมฝาผนังจากวัดภูมินทร์ วัดหนองบัว รวมถึงจิตรกรรมฝาผนังที่สำคัญอื่นในเมืองน่าน จัดแสดงอย่างถาวร เพื่อเป็นสถานที่ให้ผู้มาเยือนได้ตามรอยจิตรกรรมเมืองน่านอย่างสมบูรณ์