เมื่อวันสำคัญของการเริ่มต้นชีวิตคู่ (อย่างเป็นทางการ) มาถึง.. คู่บ่าวสาวทุกคู่ ย่อมแสวงหาสิ่งที่ดีที่สุดให้กับอีเว้นท์สำคัญนี้ อีกหนึ่งสิ่งสำคัญที่ค่อนข้างจะ a must เลย นั่นก็คือ “แหวนแต่งงาน” ซึ่งถือเป็นสิ่งของสำคัญ และมีความหมายมากต่อทั้งคู่ หากใครไม่เคยมีประสบการณ์การเลือกซื้อแหวนเพชรแหวนแต่งงานมาก่อนเลย ก็อาจจะทำให้กังวลใจไม่น้อย ไม่รู้ว่าต้องเริ่มต้นเลือกซื้อแหวนเพชรอย่างไร วันนี้ iUrban ขอพาไปแนะนำวิธีเลือกซื้อแหวนเพชร แหวนแต่งงานแบบมืออาชีพ ที่คู่รักทุกคู่ควรทำการบ้านก่อนเข้าร้านเพชร
1. กำหนด Budget แหวนเพชรในใจ
การกำหนดงบประมาณของแหวนเพชรควรทำเป็นอันดับแรก เพื่อให้สามารถควบคุมงบประมาณไม่ให้บานปลาย เลยเถิดไปไกล และยังง่ายต่อการเลือกแหวนเพชร เมื่อได้งบในใจแล้ว ก็แจ้งกับพนักงานขาย เพื่อให้พนักงานแนะนำแหวนเพชรที่อยู่ในงบมาให้เลือก แต่หากใครที่ไม่ซีเรียสเรื่องราคา ก็สามารถข้ามข้อนี้ไปได้เลยค่ะ
สำหรับราคาของแหวนเพชรจะเริ่มต้นที่ประมาณ 30,000 บาทขึ้นไป ขึ้นอยู่กับเม็ดเพชร และตัวเรือน (เราสามารถเลือกแบบ custom ได้) หากไม่ได้ซื้อแหวนเพชรแบบที่ทำสำเร็จมาแล้ว ราคานี้คือแหวนเพชรแบบมี Certificate ที่ได้มาตราฐานและเชื่อถือได้อย่าง GIA ซึ่งเป็นสถาบันการศึกษาทางด้านอัญมณีศาสตร์จากประเทศสหรัฐอเมริกา ที่ได้รับความเชื่อถือในระดับมาตรฐานสากล และได้รับการยอมรับมากที่สุดจากทั่วโลก
ส่วนราคาจะถูกหรือแพงนั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยประกอบหลายอย่าง อาทิ
- ขนาดของเพชร: ยิ่งเม็ดใหญ่เท่าไหร่ ก็แพงเท่านั้น
- น้ำเพชร: สีของเพชรและการเจียระไน
- ดีไซน์: รูปทรงของเพชร หรือ ตัวเรือน
- ความสะอาดของเพชร: ตำหนิของเพชร(เกิดจากธรรมชาติ)
เมื่อได้งบในใจแล้ว ก็มาดูการเลือก เพชร กันต่อ
คำว่าเลือกเพชรก็คือ การเลือก “เม็ดเพชร” นั่นเองค่ะ จัดว่ามีผลกับราคามาก ซึ่งก็มีหลายขั้นตอน แต่ไม่ยากค่ะ ไปลองดูกัน
2. เลือกกระรัต
กะรัต คือหน่วยที่ใช้ชั่งน้ำหนักของเพชร หรือภาษาง่ายๆ ก็คือ การเลือกขนาดของเม็ดเพชรนั่นเอง หากเรากำหนดงบประมาณในใจมาแล้ว ก็จะสามารถเลือกกระรัตได้ง่ายขึ้น แต่สำหรับใครที่ไม่ควบคุมบัดเจท ก็สามารถเลือกกระรัตได้ตามความเหมาะสม และสวยงามได้เลยค่ะ โดยการเลือกขนาดของเม็ดเพชรนี้ จะส่งผลต่อราคามากที่สุด ยิ่งเพชรเม็ดใหญ่ขึ้นมากแค่ไหน ราคาก็สูงขึ้นตามไปด้วย โดยมีราคาคร่าวๆ ดังนี้ค่ะ
3. เลือกรูปทรงของเพชร
หลายคนอาจจะมีรูปทรงของเพชรในใจก่อนมาที่ร้านกันอยู่แล้ว อันนี้ไม่มีผิด ไม่มีถูก เราสามารถเลือกทรงเพชรได้ตามความชอบของแต่ละคนได้เลย ส่วนเพชรทรงยอดนิยมที่ทางร้านเพชรแนะนำก็คือ เพชรทรงกลม เนื่องจากเพชรทรงกลมเวลาอยู่บนตัวเรือนจะสวยสง่ากว่าใคร เป็นทรงที่เจียระไนออกมาแล้วจะวิบวับแวววาวเล่นแสงได้มากที่สุด ถือเป็นทรงเพชรที่สวย สมมาตร และเป็นทรงเพชรที่สมบูรณ์ที่สุด อีกทั้
รู้ได้อย่างไรว่าทรงเพชรนั้นสมบูรณ์ และสวยงาม?
แนะนำให้เลือกร้านเพชรที่สามารถส่องกล้องเพื่อดูการเจียระไนของเพชรได้ เมื่อส่องจากกล้องแล้วเห็น Hearts and Arrows (ทรงของเพชรที่ได้รับการเจียระไนได้อย่างสมบูรณ์) หากเจียระไนมาเพอร์เฟคเวลาส่องเพชรจะเห็นเพชรเรียงกันเป็นรูปหัวใจ หรือลูกศรธนู ดังนั้นเมื่อไปเลือกเพชรก็อย่าลืมส่องดูการเจียระไน เพชรที่เจียระไนได้สวยงามจะยิ่งเปร่งประกายได้ดี และมีราคาสูงตามไปด้วยค่ะ
3. เลือกสัดส่วนของเพชร
สัดส่วนของเพชรได้มาจากการเจียระไนอีกเช่นกัน ยิ่งเจียระไนสัดส่วนของเพชรดีแค่ไหน ก็จะยิ่งทำให้สะท้อนแสงแวววาวได้มากขึ้น การดูสัดส่วนของเพชรไม่สามารถมองได้ด้วยตาเปล่า หรือแม้แต่กล้องที่ซูมระดับ 10x ให้ดูจากใบรับรองที่ได้มาตราฐาน (Certificate) โดยให้พิจารณาจาก 3 ส่วน ดังนี้
- Cut Grade: Excellent
- Polish: Excellent
- Symmetry: Excellent
ทั้งสามอย่างนี้เกรดที่ได้จะต้อง 3 Excellent เท่านั้น นั่นหมายถึงเพชรที่เจียระไนได้สมบูรณ์
4. สีของเพชร
เพชรสีที่ขาวสะอาดที่สุดคือเพชรน้ำ 100 หรือ D Color ซึ่งจะเป็นเพชรไร้สี สามารถเปรียบเทียบกับเพชรเม็ดสีอื่นได้ด้วยตาเปล่า ก็จะมองเห็นสีของเพชรที่แตกต่างกัน โดยธรรมชาติแล้วหากไม่ใช่เพชรน้ำ 100 จะมีโทนสีอมเหลืองหรือน้ำตาลปะปนอยู่ จึงทำให้เม็ดเพชรมีความแวววาวสดใสน้อยกว่า และมีมูลค่าต่ำกว่าเพชรน้ำ 100 (D Color) ดังนั้นหากต้องการเพชรที่ดีที่สุดให้เลือกสี D Color หรือลดลงตามลำดับดังนี้
- D Color น้ำ 100
- E Color น้ำ 99
- F Color น้ำ 98
- G Color น้ำ 97
- H Color น้ำ 96
- ไล่ จนถึง Z ซึ่งจะสีออกเหลืองไปเลย
โดยนำ้เพชรนี้จะมีระบุอยู่ในใบ Certificate ที่ได้มาตราฐาน อย่าง Certificate GIA แต่ไม่มีระบุอยู่ใน Certificate ของร้านเพชร จึงแนะนำให้เลือกซื้อเพชรกับร้านเพชรที่น่าเชื่อถือ และมีใบรับรองที่ได้มาตราฐาน เพื่อให้มั่นใจว่าได้เพชรน้ำดีจริงๆ
5. เลือกความสะอาด
ความสะอาดในการเลือกเพชร หมายถึงตำหนิของเพชร เพชรที่สะอาดก็คือเพชรที่มีตำหนิน้อย ซึ่งตำหนิของเพชรนั้นเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ไม่สามารถลบออกได้ ดังนั้นเพชรยิ่งมีตำหนิน้อยมากเท่าไหร่ มูลค่าก็จะยิ่งสูงขึ้นมากเท่านั้น
โดยมีการไล่ระดับความสะอาดของเพชรจากมากไปหาน้อยดังนี้
วิธีสังเกตก็คือการส่องกล้องเพื่อตรวจสอบความสะอาด หากมองเห็นจุดหรือขีด นั่นหมายถึงตำหนิของเพชร เพชรที่สะอาดจะต้องมีตำหนิน้อยที่สุด
6. อย่าลืม! ตรวจสอบ Certificate ของเพชร
เพชรแต่ละเม็ดจะมีการยิงเลเซอร์หมายเลขของเพชรสลักอยู่ เพื่อใช้ตรวจสอบว่าเป็นเพชรเม็ดเดียวกับที่ออกใบรับรอง (Certificate)
ซึ่งแน่นอนว่าไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า วิธีการตรวจสอบคือการใช้กล้องส่องเข้าไปในเม็ดเพชร เพื่อตรวจสอบว่าหมายเลขที่เพชรนั้นเป็นเลขอะไร เพื่อนำมาเทียบกับใบรับรองว่าใช่หมายเลขเดียวกันหรือไม่ ควรตรวจสอบทั้งตอนเลือก และตอนมารับแหวนเพชร เพื่อให้มั่นใจได้ว่าเราได้เพชรเม็ดที่เลือกไว้ และตรงตามใบรับรองจริงๆ
เลือกเพชรได้แล้ว! ต่อไปมาเลือกแหวนกัน
จบขั้นตอนการเลือกเม็ดเพชร สเต็ปต่อไปเป็นการเลือกแหวน คือการเลือกตัวเรือนที่เราจะสวมใส่ โดยนำเพชรเม็ดที่เราเลือกไว้มาประกอบเข้ากับตัวเรือน ดังนั้นทั้งสองอย่างนี้จึงต้องเลือกให้เหมาะสมกัน เพื่อที่จะออกมาเป็นแหวนเพชรที่เพอร์เฟคที่สุด
7. เลือกวัสดุที่ใช้ทำตัวแหวน
วัสดุที่ใช้ทำตัวเรือนของแหวนจะมีทั้งหมด 3 ประเภท ซึ่งจะมีทองผสมในสัดส่วนที่แตกต่างกันโดยประมาณ คือ
- ทองขาว – 18k
- ทอง – 22k
- พิงก์โกลด์ – 18k
ตัวเรือนที่นิยมใช้ในการทำแหวนเพชรมากที่สุดก็คือทองขาว เพราะการใช้ทองขาวเป็นตัวเรือนจะยิ่งขับเพชรให้ดูเด่นสง่า สะท้อนแสงได้แวววาว ไม่สะท้อนออกมาเป็นสีเหลือง รองมาก็เป็นสีทอง และสีพิงก์โกลด์ แต่อย่างไรก็ตามข้อนี้ไม่ได้มีกฎตายตัว เราสามารถเลือกตัวเรือนได้ตามความชอบเลยค่ะ
8. เลือกแบบของแหวน
ดีไซน์ตัวเรือนของแหวนเพชรก็จะมีให้เลือกหลายแบบ แต่ละแบบสามารถทำให้แหวนเพชรมีเอกลักษณ์ที่แตกต่างกัน ข้อนี้ขึ้นอยู่กับความชอบของผู้สวมใส่อีกแล้วค่ะ มีทริคแนะนำเล็กๆ น้อยๆ สำหรับการเลือกตัวเรือนที่ได้ไปแอบไปศึกษามา
ตัวเรือนชูไม่มีเพชร – ดีไซน์นี้ถือเป็นแหวนเพชรสุดคลาสสิค เรียบหรู สามารถเก็บไว้ให้ลูกให้หลานสืบต่อไปได้ เป็นทรงที่ใช้ได้กับทุกยุคทุกสมัย และสำหรับแหวนทรงนี้ส่วนใหญ่ จะนิยมเลือกหนามเตยเล็กๆ เพื่อที่จะเพิ่มพื้นที่ในการโชว์เม็ดเพชรให้เปล่งประกายได้มากขึ้น
ดีไซน์มีเพชรที่ก้าน – ดีไซน์แบบนี้จะเพิ่มความอลังการให้แหวนเพชรได้มากขึ้นเป็นกองเลยค่ะ เมื่อสวมใส่ก็จะเพิ่มความระยิบระยับแวววาวเป็นทวีคูณ
ดีไซน์เพชรล้อมเม็ดกลาง – ดีไซน์นี้ก็ฮิตไม่แพ้กัน เพราะว่าทำให้เพชรเม็ดกลางดูใหญ่ขึ้น ดูเหมือนได้แหวนเพชรเม็ดโต ในราคาที่เบาลงด้วยดีไซน์แบบเพชรล้อมนี้เลยค่ะ
ส่วนในเรื่องของความแข็งแรง แต่ละแบบแข็งแรงและทนทานเท่ากันค่ะ แต่อย่างไรก็ตาม ควรพิจารณาเลือกร้านที่ให้บริการหลังการขายที่ดีด้วยนะคะ หากเกิดเพชรหลุดขึ้นมาก็ยังสามารถเอากลับไปให้ที่ร้านซ่อมให้ได้
9. เลือกร้านเพชร ที่มีบริการหลังการขาย
ข้อนี้สำคัญมากไม่แพ้กับการเลือกซื้อแหวนเพชรเลยล่ะค่ะ ด้วยมูลค่าแหวนเพชรที่เราซื้อไปแล้ว ย่อมต้องการการดูแลรักษาที่ดีไปอีกนาน โดยให้พิจารณาดังนี้ค่ะ
- พนักงานขายมีความรู้แบบมืออาชีพในเรื่องแหวนเพชร แหวนแต่งงาน
- มีใบรับรองแหวนเพชร (Certificate) จากทางร้าน (คนละใบกับ Certificate ของเพชรนะคะ)
- บริการล้าง ทำความสะอาดแหวนเพชร ฟรี! ทำไม่ต้องฟรีน่ะเหรอ ก็เพราะว่าถ้าเรายิ่งหมั่นล้าง ทำความสะอาด แหวนเพชรของเราก็จะแวววาว เหมือนวันแรกที่ซื้อมาอยู่เสมอ แต่จะให้จ่ายสตางค์ทุกรอบก็ไม่ไหว^^
- บริการปรับขนาดแหวนให้พอดีกับนิ้ว เมื่อคุณอ้วนขึ้น หรือผอมลง
- บริการขัดเคลือบ ข้อนี้ก็สำคัญ แต่การขัดเคลือบแหวนเพชรไม่แนะนำให้ทำบ่อยๆ ค่ะ ควรจะนำแหวนไปขัดเคลือบปีละ 1 ครั้ง เพื่อเรียกคืนความสดใสเหมือนใหม่กลับคืนมา โดยทางร้านจะต้องส่งแหวนเราไปขัดเคลือบกันถึงที่โรงงาน ถือเป็นการทำความสะอาดใหญ่เลยทีเดียว
- บริการซ่อมแซม กรณีหนามเตยผิดรูปทรง หรือเพชรหลุด ควรเลือกร้านที่ให้ดูแลเรื่องการซ่อมแซมแหวนเพชรด้วยค่ะ
10. วิธีเลือกแหวนเพชร แหวนแต่งงาน สำหรับผู้ชาย
ด้วยไลฟ์สไตล์ของผู้ชายแล้ว อาจจะไม่ชอบสวมใส่เครื่องประดับกันซักเท่าไหร่ มาดูทริคสำหรับเลือกแหวนเพชร แหวนแต่งงานให้ผู้ชาย ตามคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญ
- ไม่เลือกเพชรเม็ดใหญ่ – ผู้ชายส่วนใหญ่ 90% ไม่ชอบแหวนเพชรเม็ดโต ซึ่งแตกต่างกับสาวๆ โดยสิ้นเชิง เพราะฉะนั้นหากต้องเลือกแหวนเพชรสำหรับผู้ชายล่ะก็ อย่าเลือกกระรัตที่ใหญ่จนเกินไปนะคะ
- ตัวเรือนต้องไม่หนา – ตัวเรือนที่ใส่แล้วสบาย มีความสำคัญต่อการสวมใส่ในชีวิตประจำวันของผู้ชายมากค่ะ ยิ่งตัวเรือนหนาใหญ่เทอะทะ ผู้ชายจะรู้สึกไม่อยากใส่ เหมือนมีอะไรมาเกาะนิ้ว และสุดท้ายอาจจะถอดทิ้งไว้ที่บ้านก็ได้น้า
- แหวนเรียบๆ – ดีไซน์แหวนของผู้ชายเน้นที่ความเรียบง่าย ใส่ได้ทุกวัน ไม่ต้องมีดีไซน์เพชรล้อม เพชรที่ก้าน เหมือนสาวๆ เลย อาจเป็นแหวนดีไซน์เรียบๆ ที่มีเพชรเม็ดไม่ใหญ่นัก
และนี่ก็คือประสบการณ์ของการเลือกแหวนเพชร แหวนแต่งงาน ที่ผู้เขียนได้ไปลองเลือก และศึกษาที่ร้านเพชร อนันทา ที่สาขา Central World ซึ่งร้านนี้ถือเป็นอีกร้านเพชรที่ได้มาตราฐาน ด้วยประสบการณ์พิถีพิถันในการเลือกเพชรน้ำงามกว่า 25 ปี ให้คำปรึกษาได้อย่างมืออาชีพ พนักงานขายมีความรู้เชิงลึกเรื่องแหวนเพชร มีอุปกรณ์ครบครันสำหรับการตรวจสอบเพชร พร้อมทั้ง Certificate จาก GIA และ Certificate จากทางร้าน และมีบริการหลังการขายฟรีหลายรายการ
สำหรับใครที่อยากได้คำแนะนำดีๆ ในการเลือกซื้อแหวนเพชร แหวนแต่งงาน ก็สามารถแวะเข้าไปปรึกษา หาข้อมูลเพิ่มเติมที่ร้านเพชร อนันทา (Ananta Fine Jewelry) กันได้เลย
โดยสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
Website: https://anantajewelry.com/
Facebook: https://www.facebook
สุดท้ายนี้ ขอแนะนำ วิธีล้างแหวนเพชรด้วยตัวเอง 3 Step ง่ายๆ ที่สามารถทำได้ที่บ้านทุกวัน
- แช่น้ำอุ่นๆ เพื่อให้คราบไคลหลุดออกมา
- ล้างแหวนเพชรในน้ำที่ผสมน้ำยาล้างจานอ่อนๆ หรือ ล้างแหวนเพชรกับสบู่เหลว
- ใช้ไดร์ลมเย็นเป่าให้แห้ง
หากทำความสะอาดแหวนเพชรอยู่เป็นประจำ ก็จะทำให้แหวนเพชรที่สวมใส่ทุกวัน ยังคงแวววาวเหมือนใหม่อยู่เสมอค่ะ ♥️