ช่วงนี้มีเพื่อนคนหนึ่งมาปรึกษาเรื่องปัญหาชีวิต จากการใช้ชีวิตแบบมีปัญหามาเป็นปีๆ จนบางทีเพื่อนคนนี้อยากฆ่าตัวตาย หลังจากได้คุยกันพบว่า ที่จริงปัญหาที่ดูเยอะสำหรับคนที่เป็นเจ้าของปัญหาเอง ถ้าคิดดีๆ อาจมีทางออก พอได้ให้คำปรึกษาในวันต่อมาเพื่อนดีขึ้นมาก ผมจึงอยากนำบางอย่างที่ได้ข้อคิดมาเล่า เผื่อจะเป็นประโยชน์กับคนที่กำลังหาทางออกจากปัญหาเช่นกัน
เพื่อนคนนี้เล่าให้ฟังว่ามีปัญหาใหญ่เล็กผสมรุมเร้ามาพร้อมกัน มาพร้อมความเครียดและไม่สบายใจ ในหลายครั้งก็ไม่อยากรบกวนเพื่อนสนิท และยากที่จะไว้ใจเล่าให้ใครฟัง ซึ่งเป็นอะไรที่ทุกคนมีสิทธิที่จะเจอเรื่องแบบนี้เหมือนกัน
ความทุกข์ชอบมาพร้อมกัน จริงหรือ?
บางคนบอกว่าเวลาสุขก็มักจะโชคดีอยู่เรื่อย แต่เวลาทุกข์ความทุกข์ก็มักจะมาถาโถมพร้อมกัน ที่จริงแล้วมันไม่ใช่แบบนั้น ความทุกข์หรือความสุขสามารถเกิดได้ตลอดเวลา ยินดีด้วย นั่นแปลว่า ความทุกข์จะอยู่กับชีวิตทุกคนไปตลอด ไม่ว่าเราจะรวยหรือจนแค่ไหนก็ตาม ความทุกข์มาในรูปแบบที่เปลี่ยนไปเสมอ ใครก็หนีความทุกข์ไม่พ้น แต่สิ่งที่เราทำได้คือ เรียนรู้ที่จะรับมือกับมัน
ใครก็มีปัญหาทั้งนั้นแหละ
เพลง Trouble is a Friend – Lenka เนื้อเพลงยังบอกเลยว่า
“Trouble will find you no matter where you go, oh oh
No Matter if you’re fast no matter if you’re slow, oh oh”
มันก็มีข้อดีของการมีปัญหาอยู่บ้าง
“มนุษย์ไม่ได้เติบโตเพราะอาหาร
มนุษย์เติบโตได้เพราะปัญหา”
กลับมาที่คุยกับเพื่อน ตามที่เล่ามา เพื่อนคนนี้รู้สึกว่าความทุกข์ถาโถมมาพร้อมกันจนแย่ไปหมด ผมเลยตั้งคำถามให้เพื่อนลองตอบเองว่า
เรื่องไหนคือความทุกข์ “ใหญ่ที่สุด” ณ ตอนนี้?
ให้ลองหาเรื่องเดียวที่ใหญ่ที่สุด กรองมันออกมาจากควันเรื่องอื่นที่รุมเร้า ให้เวลาคิด 3 นาทีเลย หลังจากได้คิด เพื่อนก็เห็นความทุกข์เรื่องนั้นเริ่มชัดเจนขึ้น ส่วนความทุกข์อื่นๆ มีอีก 2-3 เรื่อง ให้ปล่อยไปก่อน เรามาพูดกันถึงเรื่องที่ทุกข์ระดับบอสตัวนี้ ตัวเดียวพอ
หาเหตุที่ก่อให้เกิดทุกข์
ความทุกข์คืออารมณ์ความรู้สึกของเราจับต้องไม่ได้ มันเป็นก้อนเมฆสีดำที่มาพร้อมพายุฟ้าผ่าอยู่บนหัวเรา โอกาสตรงนี้มันอยู่ที่ ถ้าแก้ปัญหาได้ ทุกข์มันจะลดลงเอง ดังนั้น ถึงตอนนี้
ขั้นตอนนี้ต้องแยก “ความทุกข์” กับ “ปัญหา” (สิ่งที่ก่อให้เกิดทุกข์) ออกจากกัน
พอถอดปัญหาออกจากความทุกข์ได้แล้ว ค่อยมาสำรวจปัญหานั้น ว่ามีทางออกปัญหาที่เป็นไปได้ยังไงบ้าง? มีตัวเลือกมากได้ก็ยิ่งดี แต่การจะมองหาทางออกได้มากจะต้องใช้สิ่งที่เรียกว่า “สติ” ส่วนการจะมองหาทางออกนั้นมีประสิทธิภาพดี ต้องใช้ “ปัญญา”
สติ มีได้ด้วยการ “ใจเย็นๆ” และมีสมาธิ ฝึกสมาธิช่วยให้คนมีสติมากขึ้นได้
ปัญญา มีได้ด้วยการ “หาความรู้” ทั้งเรียนหนังสือ และหาประสบการณ์ในห้องเรียนชีวิต
อันที่จริงตรงนี้ จะคิดคนเดียวก็ได้ หรือคุยกับคนอื่นก็ได้ แต่ไม่มีใครเข้าใจปัญหานั้นได้ดีเท่าตัวเราเอง แน่นอนว่าไม่มีทางแก้ปัญหาใดจะใช้แก้ปัญหาของเราได้ (แม้แต่บทความนี้ก็ตาม) คุณจำเป็นจะต้องประมวลมันผ่านสติและปัญญาด้วยตัวเอง รักตัวเอง และเชื่อมั่นในตัวเอง
เพิ่มทางเลือกให้ของทางออก
หลังจากเห็นปัญหาชัดขึ้นแล้ว การจะมองหาทางเลือกในขณะที่มีปัญหาก็ไม่ได้ง่ายเสมอไป แต่ผมพอจะให้ทางเลือกเพิ่มอย่างน้อย 2 ทาง สำหรับทุกปัญหานั่นคือ
- ปล่อยมัน – ปล่อยปัญหามันไว้อย่างงั้น เราก็อยู่กับมันไปอย่างนี้น่ะแหละ
- หนีปัญหา – ไม่พยายามแก้ ไม่พยายามปะทะปัญหา หนีไปเลยก็ได้
พูดตามตรง ในชีวิตจริงไม่จำเป็นต้องชนะหรือประสบความสำเร็จมันทุกปัญหาหรอก ล้มบ้างก็ได้ แพ้บ้างก็ได้ วันนี้แก้ไม่ได้ อีก 10 ปีมันอาจจะแก้ได้ก็มีหลายคน เหมือนที่วัยรุ่นพูดกันเท่ๆว่า
“ถ้าคุณหาทางออกไม่ได้
ก็ออกทางเข้า”
การถอยหลังก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่ง หลังจากเห็นปัญหาชัด มีทางเลือกแล้ว ก็เลือกทางเลือกสักทาง – ไม่ต้องกังวล คุณเปลี่ยนใจได้ตลอดเวลานั่นแหละ จะไปคิดอะไรมาก มนุษย์อยู่รอดได้ถึงทุกวันนี้เพราะเป็นสิ่งมีชีวิตที่ปรับตัวเก่ง ไม่งั้นสูญพันธุ์ไปตั้งนานแล้ว การจะเปลี่ยนใจระหว่างทางที่แก้ปัญหาก็ทำได้เช่นกัน แต่ขอให้พาไปใกล้ทางออกมากขึ้นก็แล้วกัน
สำหรับบางปัญหา 2 ข้อด้านบนก็เป็บทางออกที่ดี แต่ถ้าคุณคิดหาทางแก้ปัญหาได้มากกว่า 2 ข้อนี้ละก็ ลองมาว่าถึงข้อต่อไป
แก้ปัญหาลงมือทีละขั้นตอน
อย่าคิดมากมันไม่แก้ได้ทันทีหรอก
เมื่อเลือกทางออกแล้ว พยายามคิดการลงมือทำที่ชัดเจน อะไรที่มันกว้างๆ ทำยากเช่น “ตัดใจจากแฟนเก่า” “ทำงานให้ดี” แบบนี้วัดผลการกระทำยาก ควรเปลี่ยนเป็นสิ่งที่วัดผลได้ชัดเจนเช่น “ย้ายที่ทำงาน/ย้ายหอ” “ลงคอร์สเรียนอังกฤษเพิ่มเพื่อจะได้เจอสังคมใหม่ๆ” หรือ “ทำงานให้ได้เพิ่มวันละ 2 ชิ้น”
สำหรับปัญหาอื่นก็เช่นกัน ก็มองหาทางออกที่วัดผลได้ง่ายว่าทำสำเร็จไหม เช่น “โทรเจรจากับคู่ปัญหา” “ไปแจ้งความ” “เข้าคอร์สเพิ่มความรู้การหาลูกค้า” “ยอมตัดส่วนน้อยเพื่อรักษาส่วนใหญ่” ฯลฯ หรืออะไรก็ตามที่เป็นทางออกที่คุณเลือกไว้
คุณจะเห็นชัดขึ้นว่าต้องทำอะไร อะไรสำคัญ บางครั้งเป็นขั้นตอนที่ต้องรอ-ก็รอ บางครั้งเลือกที่จะปล่อยมัน-ก็ปล่อยมัน หลังจากที่เห็นแล้วว่าต้องทำอะไรบ้าง
ก็แค่ลงมือทำ หลังจากนั้นก็ไม่ต้องคิดมาก
เพราะถ้าคุณลงมือทำขั้นตอนนั้นได้ดีที่สุดเท่าที่โอกาสจะเอื้ออำนวยแล้ว ก็ปล่อยผลลัพธ์มันไป ไม่ต้องเก็บมาคิดมากต่อ เพราะคุณเลือกแล้ว คุณไม่สามารถแก้อดีตได้ กังวลกับอนาคตก็ไม่ช่วยอะไร สิ่งที่ทำได้คือ ตอนนี้ คิดและทำให้ดี ส่วนวันพรุ่งนี้ก็ปล่อยมัน
มีคำในการ์ตูนยอดนิยมเรื่องหนึ่งกล่าวไว้ว่า
“ปล่อยให้ตัวฉันในวันพรุ่งนี้จัดการบ้างเถอะ”
– ไซตามะ วันพันช์
ใช่ ปล่อยๆ มัน แล้วไปพักซะบ้าง
เมื่อถึงขั้นตอนนี้ เราก็พยายามสุดๆแล้วนี่
อะไรจะเกิด ก็ช่างมันเถอะนะ :)
สุดท้ายนี้
ผมขอให้ทุกคนมีสติและปัญญาครับ
?
บทความเชิงทดลองเขียน ถ้าเกิดว่าใครอ่านแล้วมีข้อเสนอแนะหรืออยากให้เขียนเพิ่ม รบกวนช่วยคอมเม้นต์ไว้ด้านล่างนะครับ
ขอบพระคุณครับ :)