ประเทศสหพันธรัฐอาหรับอามิเรตส์ เริ่มการก่อสร้างเมืองปราศจากคาร์บอน (zero – carbon city) แห่งแรก โดยพลังงานที่จะใช้หล่อเลี้ยงเมืองนั้น มาจากพลังงานหมุนเวียนทั้งหมด (renewable energy) แทนที่การใช้น้ำมัน
สหพันธรัฐอาหรับอามิเรตส์ แม้จะเป็นเมืองแห้งแล้งกลางทะเลทราย แต่ก็เป็นประเทศ 1 ใน 3 ของผู้ผลิตและส่งออกน้ำมันดิบในโลก และถือครอง 10% ของน้ำมันดิบสำรองของโลกเราในอนาคต นอกจากนี้ธุรกิจการบิน การท่องเที่ยวก็เติบโตอย่างรวดเร็วโดยเฉพาะในกลุ่มลูกค้าที่เน้นความหรูหรา
พลังงาน ที่จะนำมาใช้ภายในเมืองใหม่นี้ประมาณ 82% จะมาจากพลังงานแสงอาทิตย์ ทั้งจากแผงโซลาร์เซลล์ (photovoltaic panels) ตัวรับพลังงานแสงอาทิตย์ยิ่งยวด (concentrated solar collectors) และ พลังงานแสงอาทิตย์แบบความร้อนผ่านท่อ (solar thermal tubes) ซึ่งแน่นอนว่าแสงอาทิตย์ และพลังงานความร้อนจากแสงอาทิตย์ มีอยู่อย่างมากมายก่ายกองในดินแดนทะเลทรายแห่งนี้!
อีก 17% ของพลังงานที่จะนำมาใช้นั้นจะมาจากพลังงานชีวภาพ ที่ได้มาจากการหมักขยะและเศษอาหารแล้วเปลี่ยนเป็นพลังงานด้วยวิธีการที่มี ประสิทธิภาพสูง ซึ่งสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้น้อยกว่า 10 เท่าตัวเมื่อเทียบดับการนำขยะเอาไปทิ้งให้เน่าเปื่อยและทับถมที่บ่อขยะ (landfill) ส่วน 1% นั้นจะเป็นพลังงานไฟฟ้าที่ผลิตจากพลังงานลมโดยใช้กังหันลม (wind turbines)
ในส่วนของการออกแบบจะเป็นการนำทั้งสมัยเก่า อย่างเช่น หอคอยระบายอากาศ (wind cooling towers) และถนนแคบที่จัดให้เป็นแนวเดียวกันจากตะวันตกเฉียงใต้ไปสู่ศูนย์กลางทาง ตะวันออกเฉียงเหนือ มาใช้เพื่อให้มีร่มเงามากที่สุด ลดการใช้เครื่องปรับอากาศ และการใช้แสงไฟเพื่อส่องสว่าง ซึ่งโครงการเมืองใหม่นี้คาดว่าจะใช้พลังงานใน 2 ส่วนดังกล่าวน้อยกว่าครึ่งของพลังงานที่อาคารในรูปแบบเก่าใช้อยู่
เมืองใหม่นี้จะไม่มีการใช้รถ แต่จะมีรถไฟความเร็วสูง (light rail system) มาให้บริการในเส้นทางใจกลางกรุงและปริมณฑล นอกจากนี้ยังจะมียานพาหนะขนาดเล็กที่วิ่งด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ เรียก “Personal rapid transport pods” วิ่งให้บริการรับส่งทั่วทุกมุมเมืองนอกจากนี้ในเรื่องของการจัดการน้ำ เมืองใหม่นี้จะมีการตั้งโรงกลั่นน้ำจืดพลังงานแสงอาทิตย์ขนาดใหญ่อีกด้วย
รูปทรงอาคารเป็นเหมือนเรือใบที่แล่นอยู่กลางทะเล ได้แรงบันดาลใจจาก Dhow เป็นเรือใบท้องถิ่นของชาวอาหรับ สามารถรับวิวได้ 360 องศา ตัวอาคารออกแบบให้ดูเรียบง่ายด้วยการใช้โครงสร้างเหล็กที่ดูเบาบาง เน้นอาคารที่ดูเด่นลชัดด้วยรูปทรงที่ชัดเจน รองรับอาคารด้วยสีขาวที่ดูเป็นเรือใบสีขาวใสตอนกลางวัน และสร้างสีสันด้วย Lighting ในตอนกลางคืน ที่สามารถเปลี่ยนเป็นสีต่างๆได้ ทุก 30 นาที หรือตามววาระและเทศกาลที่ต้องการ
ภายในประกอบด้วยพื้นที่สนับสนุน ทีมีการออกแบบและสร้างสเปซภายใน ในส่วน Atrium ที่มีการเปิด open space ที่สูงถึง 180 เมตร นับเป็น Atrium ที่สูงที่สุดในโลก ที่มีการตกแต่งด้วยวัสดุ หนังสัตว์ ไฟเบอร์กลาสเคลือบเทฟลอน ในสไตล์ที่ผสมผสานความเป็นเอกลักษณ์พื้นถิ่นอาหรับ ฝ้ากระจกเงา และสร้างความเป็นดราม่าด้วยตู้ปลาขนาดใหญ่ขนาบกับบันไดเลื่อน เทคโนโลยีสื่อมีเดียช่วยเสริมสร้างบรรยากาศ ในขณะ Al Muntaha นำเสนอผ่านภาพลักษณ์ของร้านอาหารลอยฟ้า Mahara กลับดึงบรรยากาศของการเดินทางด้วยเรือดำน้ำที่เป็น Simulator แทน
ขอบคุณข้อมูลจาก http://www.vcharkarn.com/vnews/144217 และ Art4D Magazine