ทำไมลอจิสติกส์ถึงมีความสำคัญในการทำธุรกิจยุคอุตสาหกรรม 4.0 13 -

ทำไมลอจิสติกส์ถึงมีความสำคัญในการทำธุรกิจยุคอุตสาหกรรม 4.0

บริษัท โลคัล มอเตอร์สเป็นบริษัทผลิตรถยนต์จากอาริโซน่า ที่มีความแตกต่างจากผู้ผลิตรถยนต์อื่นๆ โดยแทนที่จะเดินตามรอยกระบวนการออกแบบแบบดั้งเดิม โลคัล มอเตอร์ส กลับใช้ คราวด์ซ๊อส (Crowdsource) ในการหาแบบรถจากสังคมออนไลน์ เมื่อได้แบบที่ต้องการแล้ว โลคัล มอเตอร์ส ได้ใช้เทคโนโลยีการพิมพ์แบบสามมิติเพื่อแปลงข้อมูลดิจิตัลสู่โลกเสมือนจริงในกระบวนการสร้างรถเกือบทั้งหมด ทำให้โลคัล มอเตอร์สใช้เวลาเพียง 1 ปี ในการสร้างรถรุ่นใหม่จากศูนย์ ซึ่งปกติแล้วจะเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 6 ปี[1]

 

ตัวอย่างที่กล่าวข้างต้นเป็นการแสดงให้เห็นถึงการปฏิวัติในโลกของการผลิตเป็นอย่างดี ซึ่งนับเป็นการปฏิวัติครั้งใหญ่หลังจากปี 1970 หรือที่รู้จักกันดีในนามการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่สาม ที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมากในการผลิตตั้งแต่การออกแบบ การควบคุม และการนำไปปฏิบัติจริง และการเปลี่ยนแปลงนี้ได้ส่งผลถึงผู้ใช้ปลายทางของห่วงโซ่อุปทานคือผู้บริโภค ในปัจจุบัน เศรษฐกิจยุค อีคอมเมิร์ซ ได้ก่อให้เกิดการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่สี่ หรือที่เรียกว่า ธุรกิจยุคอุตสาหกรรม 4.0 ซึ่งผู้ดำเนินธุรกิจต่างๆ ต้องเร่งปรับตัวตามให้ทัน

 

อุตสาหกรรม 4.0 เป็นสัญลักษณ์ของการนำความสามารถด้านดิจิตัลใหม่ๆ มาประยุกต์ใช้ในการผลิตรวมถึงในแต่ละกระบวนการของห่วงโซ่คุณค่า หรืออย่างง่ายที่สุด คือการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีใน 1 ขั้นตอน เช่น เหมืองทองในแอฟริกาใช้ประโยชน์จากบิ๊ก ดาต้า ที่ได้จากอุปกรณ์ตรวจจับสัญญาณเพื่อค้นหาจุดบกพร่องในกระบวนการผลิต โดยเมื่อแก้ไขข้อบกพร่องนี้แล้วสามารถเพิ่มรายได้ถึง 37% หรือ 20 ล้านเหรียญสหรัฐ ต่อปี[2]

 

อย่างไรก็ตาม บริษัทต่างๆ ควรมองที่ห่วงโซ่คุณค่าของตนเองแบบองค์รวม เพื่อจะประเมินถึงศักยภาพของบริษัทในอุตสาหกรรม 4.0 ด้วยประสบการณ์สี่ทศวรรษในการสนับสนุนห่วงโซ่อุปทานซัพพลายเชนของลูกค้า ธุรกิจของเราจึงต้องจับตามองว่าการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้จะกระทบกับห่วงโซ่อุปทานทุกๆที่อย่างไร ดิฉันเชื่อว่าการกลับมาคิดถึงการจัดการห่วงโซ่อุปทานเป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่งหากผู้ผลิตและผู้ค้าปลีกต้องการประสบความสำเร็จในยุคอุตสาหกรรม 4.0

 

ลูกค้าเป็นศูนย์กลาง

หากพิจารณาในแง่ของแนวโน้มของรายได้จากประสิทธิภาพของต้นทุน การจัดการห่วงโซ่อุปทานนับมีความสำคัญอย่างยิ่ง ในปัจจุบันการวิเคราะห์ข้อมูลจากบิ๊กดาต้าและความคาดหวังที่เปลี่ยนแปลงของลูกค้า ทำให้การคาดการณ์ความต้องการมีความซับซ้อนยิ่งขึ้น ซึ่งหมายถึงห่วงโซ่อุปทานในปัจจุบันมีบทบาทเพิ่มเติมที่สำคัญในการสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้ารวมถึงการรักษาลูกค้าเดิม

 

ทุกหน่วยงานของผู้ประกอบการลอจิสติกส์ตั้งแต่ศูนย์หน้าไปถึงแผนกสนับสนุน ไม่ว่าจะเป็นการผลิต คลังสินค้า การตลาด ฝ่ายขาย บัญชี การจัดส่งและการคืนสินค้า[3] จึงต้องทำงานร่วมกันเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของห่วงโซ่อุปทานที่ยังคงควบคุมต้นทุนได้รวมถึงทำให้ลูกค้าพึงพอใจ

 

ตอบรับนวัตกรรม

โดยปกติแล้ว การควบรวมหน่วยงานต่างๆ ของธุรกิจค่อนข้างซับซ้อน โดยผลการวิจัยล่าสุดพบว่าผู้บริหาร 7% เชื่อว่าพวกเขาได้สร้างธุรกิจแบบครบวงจร[4] ที่พร้อมสำหรับอุตสาหกรรม 4.0 โดยที่เข้าถึงเทคโนโลยีที่เหมาะสมเป็นเพียงส่วนหนึ่งที่ทำให้ธุรกิจประสบความสำเร็จ ด้วยเหตุนี้เองธุรกิจต่างๆ ยังคงต้องสร้างวัฒนธรรมที่พร้อมรับ นวัตกรรมใหม่ๆ รวมถึงบุคลากรตั้งแต่ระดับผู้บริหารระดับสูงจนกระทั่งถึงพนักงานทั่วไปที่พร้อมจะนำนวัตกรรมมาประยุกต์ในการทำงานเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงของบริษัท[5]

 

อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการธุรกิจควรจะเปรียบเทียบระหว่างความคุ้มค่าและอุปสรรคในการนำลอจิสติกส์มาปรับใช้เพื่อให้ธุรกิจพร้อมในยุคอุตสาหกรรม 4.0 ซึ่งผลประโยชน์ที่อาจจะได้รับอาจจะมากกว่าอุปสรรคก็เป็นได้ไม่ว่าธุรกิจนั้นจะเล็กหรือใหญ่ก็ตาม ตัวอย่างเช่น แอร์บัส บริษัทผู้ผลิตเครื่องบินซึ่งลงทุนมหาศาลในการสร้าง”โรงงานเพื่ออนาคต” หรือ “Factory of the Future” โดยการใช้กระบวนการผลิตเครื่องบินเสมือนจริงด้วยคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลและหุ่นยนต์ที่ทำงานร่วมกัน[6] ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นคือการผลิตอัจฉริยะ เพราะแอร์บัสสามารถจะผลิตเครื่องบินได้ตามความต้องการที่เพิ่มขึ้นได้อย่างยั่งยืน[7]

 

รูปแบบของการแข่งขันในอนาคต

 

แน่นอนว่า สิ่งที่กล่าวมาทั้งหมดเป็นเพียงตัวอย่างบางส่วนที่แสดงให้เห็นถึงการนำเทคโนโลยีมาใช้ในห่วงโซ่อุปทาน เทคโนโลยีต่างๆ เช่น หน้าจอสัมผัส หุ่นยนต์ และเทคโนโลยีเออาร์ (Augmented Reality)[8] สามารถนำมารวบรวมและดัดแปลงเพื่อทำให้เกิดห่วงโซ่อุปทานที่จะสนองความต้องการของลูกค้า[9] อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญไม่ได้อยู่ที่เทคโนโลยีที่บริษัทใช้เพียงอย่างเดียว แต่เป็นการเลือกทำงานกับผู้ผลิต การใช้เทคโนโลยี และผู้ให้บริการลอจิสติกส์เพื่อทำให้ห่วงโซ่อุปทานสนองความต้องการของตลาด

 

หากสามารถนำเทคโนโลยีมาใช้อย่างถูกต้อง บริษัทต่างๆ จะสามารถประสบความสำเร็จในธุรกิจ ลดเวลาในการเข้าถึงตลาด ลดต้นทุน เพิ่มผลผลิตและรายได้ๆ ถึงแม้จะลงทุนมากก็ตาม โดยผู้ตอบแบบสอบถามกว่าครึ่งคาดว่าจะกำไรจากการลงทุนคืนภายใน 2 ปี[10]

 

กล่าวโดยสรุปคือปัจจุบันดิจิตัลมีบทบาทในธุรกิจมากขึ้น ดังนั้น บริษัทต่างๆ ควรเตรียมความพร้อมของห่วงโซ่อุปทานสำหรับอุตสาหกรรม 4.0 เพื่อความได้เปรียบของการแข่งขันธุรกิจในอนาคต

 

เว็บเราใช้คุ้กกี้เพื่อให้ท่านได้ประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น ท่านสามารถศึกษารายละเอียดการได้จาก นโยบายการใช้คุกกี้ และสามารถเลือกอนุญาตคุกกี้เองได้ที่ ตั้งค่าคุกกี้

Privacy Preferences

เมื่อท่านเข้าชมเว็บไซต์ของเรา อาจมีการจัดเก็บหรือดึงข้อมูลจากเบราว์เซอร์ของท่านในรูปแบบของคุกกี้ ข้อมูลนี้อาจเป็นข้อมูลเกี่ยวกับท่าน การตั้งค่าของท่าน อุปกรณ์ของท่าน ซึ่งจะถูกใช้เพื่อทำให้เว็บไซต์สามารถทำงานได้ตามที่ท่านต้องการ ซึ่งมักเป็นข้อมูลที่ไม่ได้ระบุตัวตนของท่านโดยตรง แต่ช่วยให้ท่านสามารถใช้งานเว็บไซต์แบบเฉพาะสำหรับท่านได้มากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ เราเคารพในสิทธิความเป็นส่วนตัวของท่าน โดยท่านสามารถเลือกปฏิเสธไม่ยอมรับให้คุกกี้บางประเภททำงานได้ ซึ่งท่านสามารถคลิกที่หัวข้อแต่ละประเภท เพื่อเรียนรู้เพิ่มเติมและปรับเปลี่ยนการตั้งค่าได้ อย่างไรก็ตาม การเลือกปิดการใช้งานคุกกี้บางประเภทอาจส่งผลกระทบต่อการใช้งานเว็บไซต์และบริการที่เราเสนอให้แก่ท่านได้ ข้อมูลเพิ่มเติม

ยอมรับทั้งหมด
Manage Consent Preferences
  • คุกกี้ที่จําเป็นสําหรับการทํางานของเว็บไซต์ (Strictly necessary cookies)
    Always Active

    คุกกี้ประเภทนี้มีความจำเป็นต่อการทำงานของเว็บไซต์ ซึ่งรวมถึงคุกกี้ที่ทำให้ท่านสามารถเข้าถึงข้อมูลและใช้งานในเว็บไซต์ของเราได้อย่างปลอดภัย ส่วนนี้จะไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
    Cookies Details

  • คุกกี้ที่ช่วยในการใช้งาน (Functional Cookies)

    เราใช้ Cookies ประเภทนี้เพื่อช่วยจดจำอุปกรณ์หรือบราวเซอร์ของท่าน เพื่อให้เราสามารถจัดทำเนื้อหาได้อย่างเหมาะสมกับความสนใจส่วนบุคคลของท่านได้รวดเร็วขึ้น และช่วยให้การบริการและแพลตฟอร์มได้อย่างสะดวกสบายและเป็นประโยชน์ต่อท่านมากยิ่งขึ้น

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์เชิงสถิติ (Analytics Cookies)

    เราใช้ Analytics Cookies ที่ให้บริการโดย Google ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อใช้เก็บข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับรูปแบบการใช้งานของท่านบนเว็บไซต์ของเรา โดยข้อมูลนี้ประกอบไปด้วย หน้าเว็บไซต์ที่ท่านเข้าชม ลิงค์ที่ท่านคลิก ระยะเวลาที่ท่านเข้าชมในแต่ละหน้า โดยเราใช้ข้อมูลนี้เพื่อวิเคราะห์รูปแบบการใช้งานของผู้ใช้ และเพื่อให้เว็บไซต์ทำงานได้อย่างถูกต้อง

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย (Targeting Cookies)

    เราใช้คุกกี้ประเภทนี้จดจำการตั้งค่าของท่านในการเข้าใช้งานหน้าเว็บไซต์ หน้าเว็บที่ท่านได้เยี่ยมชม และลิงค์ที่ท่านเยี่ยมชม เพื่อรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับวิธีการเข้าชมและพฤติกรรมการเยี่ยมชมเว็บไซต์และยังปรับปรุงเว็บไซต์ รวมทั้งเนื้อหาใดๆ ซึ่งปรากฏอยู่บนหน้าเว็บให้ตรงกับความสนใจของท่านมากยิ่งขึ้น และทดสอบความมีประสิทธิภาพของโฆษณาเรา และนำเสนอโฆษณาที่เหมาะสมกับท่านมากที่สุดเท่าที่จำเป็น นอกจากนี้ เรายังอาจแชร์ข้อมูลนี้ให้กับบุคคลที่สามเพื่อวัตถุประสงค์ดังกล่าว
    Cookies Details

บันทึกการตั้งค่า