เด็ก คืออนาคตของชาติ เราคงเคยได้ยินคำนี้กันบ่อยๆ แต่ใครจะรู้ว่า หลายๆ ครั้งสิ่งที่เด็กทำ ก็ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ แต่กลับสร้างผลกระทบสำคัญอย่างใหญ่หลวงให้แก่สังคมหรือระดับโลก! ทั้งที่ตั้งใจและไม่ตั้งใจ
วันนี้ iUrban จะพามารู้จักกับเด็กและเยาวชนในมุมโลกต่างๆ ที่ได้ฝากผลงานทิ้งไว้ให้โลก เด็กผู้นำมาซึ่งความเปลี่ยนแปลงหรือสร้างสังคมที่ดีกว่าเมื่อวาน โดยเราอาจจะไม่เคยรู้จักหรือไม่เคยได้ยินชื่อ แต่เด็กๆ เหล่านี้ ได้สร้างผลกระทบต่อคนหมู่มากจนแทบไม่น่าเชื่อมาแล้ว
เรามาดูเรื่องราวของพวกเขาและผลงานเหล่านั้นกันค่ะ
1. Anne Frank
กับไดอารี่ทีทำให้ทั้งโลกต้องหลั่งน้ำตา
แอนน์ แฟรงค์ เด็กสาวชาวยิว อายุ 13 ปี ผู้ได้รับสมุดไดอารี่เป็นของขวัญวันเกิดในปี ค.ศ. 1942 ท่ามกลางไฟสงคราม ซึ่งในขณะนั้น อดอฟ ฮิตเลอร์ ผู้ปกครองเยอรมันนี ได้ออกโยบายกำจัดชาวยิว จนกระทั่งครอบครัวแฟรงก์ซึ่งเป็นยิวกลัวภัยอันตรายจึงต้องหลบหนี และได้รับความช่วยเหลือจากครอบครัวหนึ่งให้ซ่อนอยู่ในห้องใต้หลังคานั้น
แอนน์ ได้เล่าเรื่องราวต่างๆ ทั้งความหวาดกลัว ชีวิตความเป็นอยู่ การหลบซ่อน หรือกิจกรรมฆ่าเวลาเพื่อให้ผ่านไปแต่ละวัน โดยที่เธอไม่มีวันรู้เลยว่าบันทึกชีวิตประจำวันของเธอเล่มนั้น วันหนึ่งจะกลายเป็นส่วนสำคัญหนึ่งของประวัติศาสตร์โลก
วันหนึ่ง ทหารนาซีสืบพบสำเร็จ ครอบครัวรวมทั้งตัวเธอถูกส่งไปยังค่ายกักกันเอาชวิทซ์ของนาซี ใช้ชีวิตราวนรกบนดิน ที่ๆ ครอบครัวถูกแยกออกจากกัน เด็กและคนแก่ต้องโดนรวมแก๊ซพิษจนตาย แอนน์รอดมาได้เพราะอายุเกินเกณฑ์มาอย่างหวุดหวิด แต่ท้ายที่สุด แม่ พี่สาว และแอนน์ แฟรงค์ก็เสียชีวิตในที่สุด ก่อนทหารอังกฤษจะเข้ามาปลดปล่อยนักโทษได้เพียงไม่กี่สัปดาห์เท่านั้น พ่อของเธอเป็นคนเดียวที่รอดชีวิต
เขาได้กลับมายังบ้านกระทั่งพบไดอารี่ของเธอและทำการตีพิมพ์หนังสือ ไดอารี่ของแอนน์ แฟรงก์ หลายปีต่อมาหนังสือเล่มนี้ได้รับความนิยมทั่วโลก ในฐานะของหลักฐานที่เล่าถึงเหยื่อการฆ่าล้างเผ่าพันธ์ที่โด่งดังที่สุดและเป็นวรรณกรรมที่ทรงอิทธิพลมากที่สุดในโลกชิ้นหนึ่ง
นิตยสารไทมส์ ยกให้แอนน์ แฟรงก์ให้เป็น 1 ใน 100 บุคคลสำคัญแห่งศตวรรษที่ 20
2. Louis Braille
ข้อจำกัดของร่างกาย ไม่ใช่อุปสรรคต่อการพัฒนาสิ่งที่ดีกว่า
เบรลล์ เด็กหนุ่มชาวฝรั่งเศษ ผู้เกิดในปี ค.ศ.1809 เขาตาบอดสนิทเมื่ออายุ 3 ขวบ และได้เข้ารับการศึกษาที่สถาบันเพื่อเยาวชนตาบอดแห่งปารีส (Royal Institute for Blind Youth in Paris) ด้วยวัยเพียง 19 ปี เขาได้พัฒนาระบบอักษรขึ้นโดยไม่ใช้ดวงตา แต่อาศัยตำแหน่งของจุดที่นูนขึ้นมาบนกระดาษแทนซึ่งในสมัยก่อนใช้งานยุ่งยากและซับซ้อนมาก ระบบอักษรที่เบรลล์ประดิษฐ์ขึ้นนี้ในปัจจุบันถูกเรียกว่า ระบบอักษรเบรลล์ เพื่อเป็นเกียรติแด่หลุยส์ เบรลล์
อักษรเบรลล์ถูกใช้ทั่วโลกสำหรับการอ่าน/เขียน ของคนตาบอด มีรูปแบบเพื่อทดแทนอักษรในภาษาต่างๆ รวมถึงภาษาไทย ละยังแทนตัวเลขได้อีกด้วย ซึ่งเรามักพบอักษรเบรลล์อยู่ในลิฟท์บริเวณเลขชั้นนั่นเอง
หลุยส์ เบรลล์ ได้เป็นอาจารย์ที่ Royal Institute for Blind Youth in Paris กระทั่งเสียชีวิตไปในวัย 43 ปี แต่ผลงานในวัยเด็กของเขา ยังคงสร้างคุณประโยชน์ให้แก่โลกจวบจนทุกวันนี้
3. Ryan Hreljac
เรื่องราวของคนตัวเล็ก เพื่อน้ำดื่มแด่ผู้หิวโหย
การเติบโตมาในเมืองที่เพียงแค่หมุนก๊อก น้ำสะอาดก็ไหลให้เราได้ดื่มใช้อย่างไม่รู้จักหมด อาจจะทำให้จินตนาการยากว่ายังมีเด็กกว่าล้านคนในแอฟริกาที่ต้องเดินทางหลายกิโลเมตรเพื่อนำน้ำสะอาดมาอุปโภคบริโภค และมีอีกจำนวนไม่น้อยที่เสียชีวิตไปก่อน เนื่องจากขาดแคลนน้ำสะอาดประทังชีวิต
หนูน้อยไรอัน เด็กชายวัย 6 ขวบจากประเทศแคนาดา ได้ยินเรื่องดังนั้นก็ถึงกับช็อกขณะเรียนวิชาสังคมศึกษา กับเรื่องราวของโลกที่ขาดแคลนน้ำสะอาด ความตกใจของเขากลายเป็นแรงบันดาลใจและตั้งเป้าหมายที่จะขุดบ่อน้ำเพื่อเด็กๆ แอฟริกาให้ได้
ไรอันทำงานรับจ้างต่างๆ รวมถึงออกไปพูดเพื่อขอเงินสนุบสนุนเป็นเวลา 1 ปีและในที่สุดก็ได้นำเงินไปขุดบ่อน้ำแห่งแรกสำเร็จ — แต่การเดินทางของหนูน้อยไรอันพึ่งเริ่มต้น
ข่าวความเสียสละของเด็ก 7 ขวบนี้ โด่งดังไปทั่วแคนาดาและสหรัฐอเมริกา สร้างแรงบันดาลใจต่อให้เด็กๆ อยากร่วมกันส่งเงินไปให้เช่นกัน ไรอันได้จัดตั้งมูลนิธิ “Ryan’s Well Foundation” ขึ้นเพื่อระดมทุนที่จะขุดบ่ออื่นๆ เพิ่มในหลายๆ ที่
ปัจจุบัน ไรอันได้รับเลือกให้เป็น Global Youth Leader โดยองค์การยูนิเซฟ มูลนิธิของเขาได้ ขุดบ่อน้ำไปแล้วกว่า 740 บ่อ ห้องน้ำกว่า 1 พันห้อง ในเกือบ 20 ประเทศทั่วโลก ช่วยเหลือผู้คนกว่า 1 ล้านชีวิต ไม่ให้ตายอย่างทุกข์ทรมาน และสร้างแรงบันดาลใจให้เด็กอีกหลายคนที่จะลงมือทำอะไรบางอย่างเพื่อวันที่ดีกว่า
4. Dylan Mahalingam
พลังอินเทอร์เน็ต พลังเยาวชนโลก
ดีแลน เด็กน้อยชาวอเมริกันเชื้อสายอินเดียได้เดินทางพร้อมครอบครัวไปเยือนแผ่นดินต้นตระกูลของตน และได้พบกับความเป็นอยู่ที่อัตคัดและความอดยาก ปัญหาต่างๆ ในอินเดียที่คนภายนอกอาจไม่รู้ ดีแลนไม่รอช้า ด้วยวัยเพียง 9 ขวบของเขา ดีแลนกับพี่สาวได้ร่วมกันก่อตั้ง Lil’MDGs องค์กรระหว่างประเทศเพื่อพัฒนาและเสริมสร้างพลังแก่เยาวชน
ความโดดเด่นขององค์กรนี้คือการนำพลังของ “อินเทอร์เน็ต” มาสร้างประโยชน์อย่างมหาศาล ผลที่ได้มีจำนวนสูงอย่างน่าตกใจ นั่นคือ กำลังเยาวชนกว่า 3 ล้านคน และอาสาสมัครทั่วไปกว่า 24,000 คน จาก 41 ประเทศทั่วโลก! ทำให้ในปี ค.ศ. 2009 โครงการนี้ชนะเลิศรางวัล World Summit Youth Award ของสหประชาชาติ ตาม Millennium Development Goals อันเป็นเป้าประสงค์ปี 2000-2015 ที่ต้องการแก้ไขปัญหาความหิวโหย ความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา เพศ และปัญหาโรคเอดส์
พวกเขาทำอะไรกัน?
การระดมทุนขององค์กรนี้ได้ถูกนำไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยสึนามีในปี 2004 ช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากพายุเฮอร์ริเคนในอเมริกา สร้างห้องสมุด โรงพยาบาลเคลื่อนที่ โรงเรียนสำหรับเด็กที่ติด HIV และอีกมากมายนับไม่ถ้วน ซึ่งยังคงดำเนินงานอยู่โดยเยาวชนทั่วโลกจนถึงทุกวันนี้ ปัจจุบัน ดีแลนก็ยังคงได้รับเชิญจากสหประชาชาติในงานต่างๆ เพื่อพัฒนาโลกใบนี้ต่อไปด้วยพลังเด็กและเยาวชน เรียกได้ว่าเป็นผู้นำคลื่นลูกใหม่แบบที่โลกต้องการจริงๆ
5. Claudette Colvin
ฉันจะไม่ลุก เพื่อรักษาสิทธิของความเท่าเทียมกันของมนุษย์
คุณกล้าที่จะต่อสู้กับสิ่งผิดๆ ในสังคมเห็นเป็นเรื่องปรกติหรือไม่?
เรื่องราวของ Claudette Colvin เด็กสาวผิวสีอายุเพียง 15 ปี ในสหรัฐอเมริกา นั่งรถบัสกลับบ้านตามปรกติ ซึ่งในยุคนั้น สิทธิของคนผิวดำมีน้อยมาก เรียกได้ว่าเป็นคนละชนชั้นกับคนผิวขาวเลย ทั้งการจำกัดอาชีพ บริการสาธารณะต่างๆ หากใครเคยดูภาพยนตร์เรื่อง The Help จะยิ่งเห็นภาพ เช่นการแบ่งห้องน้ำระหว่างเจ้านายผิวขาวและลูกจ้างผิวสี รวมถึงการขึ้นรถบัสประเภทหนึ่งคือรถบัสแบ่งแยกสีผิว ที่มีกฏว่าคนผิวสีจะต้องลุกให้คนผิวขาวนั่ง แม้จะมานั่งก่อนก็ตาม ซึ่งคงมองกันว่าเป็นกฏที่ปรกติธรรมดาในสมัยนั้น
แต่ Colvin ไม่คิดเช่นนั้น
เธอปฏิเสธและยืนกรานที่จะไม่ปฏิบัติตามกฏนั้น เธอไม่ลุกให้คนผิวขาวนั่ง ซึ่งการปฏิเสธเช่นนี้ทำให้ต้องถูกดำเนินคดี แต่เธอก็ต่อสู้คดีจนถึงศาลสูงสุด
การต่อสู้ของเธอสำฤทธิ์ผล.. ในที่สุดศาลก็มีคำสั่งให้ “ยกเลิกรถบัสแบ่งแยกสีผิว” จะต้องไม่มีการให้คนผิวใดลุกให้คนผิวใดอีก นี่เป็นดั่งจุดเริ่มต้นจุดหนึ่งที่นำไปสู่แรงกระเพื่อมทางสังคม และมีเหตุการณ์ต่างๆ อีกมากมายหลังจากนั้น จนนำไปสู่ค่านิยมการไม่แบ่งแยกผิวสีและเชื้อชาติตราบจนทุกวันนี้ จากคำปฏิเสธเล็กๆ ของ “เด็กสาวอายุ 15 ปี”
6. Nkosi Johnson
นักสู้เพื่อสิทธิเด็กผู้เกิดมาพร้อม HIV
Johnson เกิดมาในแอฟริกาใต้ เช่นเดียวกับเด็กคนอื่นๆ ที่เกิดมาพร้อม HIV อีกกว่า 70,000 คนในแต่ละปี
แม่ของเขาเสียชีวิตโดยเอดส์ ทำให้อาสาสมัครหญิงดูแลแม่ลูกคู่นี้จึงรับเขามาอยู่ด้วย และเริ่มต้นพาเข้าโรงเรียน ซึ่งคุณแม่บุญธรรมก็ไม่ปิดเรื่องที่ Johnson เป็นเอดส์ ทางโรงเรียนแจ้งว่าจะติดต่อกลับไปอีกที และก็ติดต่อมาจริงๆ เพื่อนัดพูดคุย พบว่าคุณครูและผู้ปกครองครึ่งนึงยอมรับ และอีกครึ่งหนึ่งรู้สึกไม่สบายใจ แต่สุดท้ายเขาได้เข้าเรียนในที่สุด จากนั้นจึงได้เริ่มการเวิร์คช็อปเพื่อสร้างความเข้าใจและให้การยอมรับต่อผู้ติดเชื้อ การกระทำของเขาส่งผลจนรัฐบาลได้ออกนโยบายว่า “ต้องให้สิทธิในการศึกษาแก่เด็กผู้ติดเชื้อ” ในที่สุด เขาเริ่มเป็นตัวแทนแห่งการเยียวยาผู้ติดเชื้อ การยอมรับและเข้าใจ จนขับเคลื่อนนโยบายของแอฟริกาใต้ในด้านนี้
Nkosi Johnson เสียชีวิตในเช้าตรู่วันที่ 1 มิถุนายน 2001 ท่ามกลางความเสียใจของหลายๆ คน แต่สุนทรพจน์เขาบนงาน International Aids Conference ครั้งที่ 13 ยังคงก้องอยู่ในหัวใจใครหลายๆ คน ด้วยประโยคง่ายๆ ที่ว่า
“Care for us and accept us – we are all human beings,”
“We are normal. We have hands. We have feet. We can walk, we can talk, we have needs just like everyone else. Don’t be afraid of us – we are all the same.”
7. Malala Yousafzai
เราจะตระหนักถึงความสำคัญของเสียงเราได้อย่างแท้จริง เมื่อวันที่เราถูกสั่งให้เงียบ
สำหรับในรอบปีนี้ ชื่อของ Malala Yousafzai และรูปภาพของสาวน้อยนัยย์ตาแหลมคมคงผ่านสายตาใครหลายๆ คน เด็กสาวอายุน้อยที่สุดที่เคยถูกเสนอชื่อในรางวัลโบเบล เด็กที่เกิดมาท่ามกลางสังคมที่การศึกษาเป็นเรื่องอันตราย อย่าถึงขั้นสิทธิเด็กเลย เพราะแค่เพียงสิทธิของผู้หญิงก็แทบเลือนราง
มาลาลา เป็นผู้เรียกร้องสิทธิเพื่อการศึกษาของเด็กและผู้หญิง การเรียกร้องของเธอทำให้เธอโดนหมายหัวจากกลุ่มตาลีบาน และวันหนึ่งในวัย 15 ปี รถบัสโดยสารเธอที่เธอนั่งมาก็ถูกกลุ่มตาลีบานบุกยิงอย่างอุกอาจ
แม้จะบาดเจ็บสาหัส แต่เธอก็รอดชีวิตมาได้ ทั่วโลกให้ความยกย่องในความกล้าหาญ เปรียบเธอเป็นแสงเทียนท่ามกลางพายุมืดมน
หลังจากรักษาหายดี มาลาลา ก็ได้รับการจัดชื่อเป็นหนึ่งในบุคคลที่ทรงอิทธิพลที่สุดในโลกในปี 2013 ของนิตยสาร TIMES พร้อมรางวัลเชิดชูเกียรติอื่นๆ อีกมากมาย
และปี 2014 มาลาลาก็ได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพในที่สุด และทำให้เป็นผู้รับรางวัลโนเบลที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ด้วยวัย 17 ปี เท่านั้น
แต่ภารกิจของเธอยังคงอีกยาวไกล เธอยังคงออกให้ความรู้ความเข้าใจและเรียกร้องในสิทธิการศึกษาเด็กจนถึงปัจจุบัน กับคำกล่าวที่ว่า
“One child, one teacher, one book, one pen can change the world.”
เป็นอย่างไรกันบ้างคะกับเด็กๆ ทั้ง 7 ที่อยู่ต่างยุคกัน ต่างสถานการณ์ แต่สิ่งหนึ่งที่เหมือนกันคือการทำอะไรเล็กๆ แต่สร้างผลกระทบที่ยิ่งใหญ่ รู้เช่นนี้แล้ว ใครมีความฝันอยากเปลี่ยนแปลงอะไร อย่าดูถูกตัวเองแล้วเริ่มลงมือทำเลย!
iUrban ขอเป็นกำลังใจให้คุณค่ะ :)